กาสิโน จะพาไทยเจริญแน่นอน | โสภณ พรโชคชัย
กาสิโน เป็นสิ่งที่ดีต่อชาติอย่างแน่นอน แต่หลายคนมองว่าเป็นธุรกิจบาป ความจริงเป็นอย่างไรกันแน่ มาดูความจริงจากผู้ประเมินค่ากาสิโนมาแล้วในหลายประเทศ
เมื่อเร็วๆ นี้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการเปิด สถานบันเทิงแบบครบวงจร ในรูปแบบ Entertainment Complex เพื่อหาแหล่งรายได้ใหม่จากนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศโดยมีผู้เกี่ยวข้องในวงการบ่อนหรือกาสิโนเข้าร่วมด้วย
ในแง่หนึ่งนับเป็นนิมิตหมายอันดี แต่หลายคนก็ยังเข้าใจว่ากาสิโนไม่ดี ผู้เขียนซึ่งมีประสบการณ์ประเมินค่ากาสิโนในหลายประเทศ จึงขอมาแบ่งปันข้อคิดเห็น
ดร.โสภณเคยพาคณะไปประเมินค่าโรงแรมและกาสิโนในประเทศแซมเบียน นามิเบีย บอตสวานา และเลซูทูของทวีปอาฟริกา มีโรงแรมในการนี้ 5 แห่ง ทั้งนี้หลังจากกลับจากการสำรวจ ก็จะต้องใช้เวลาในการประเมินค่าอีกประมาณ 1 เดือน
นอกจากนั้นยังเคยไปสังเกตการณ์กาสิโนในกัมพูชา นิวซีแลนด์ เนปาล สิงคโปร์ มาเก๊า เมียนมา เวียดนาม สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ฮ่องกง และอื่นๆ รวมทั้งอดีตกาสิโนในอินโดนีเซีย เป็นต้น
นับว่าน่าแปลกที่ประเทศเพื่อนบ้านของไทยเรา มีกาสิโนมากมาย เช่น มาเลเซียที่เป็นประเทศมุสลิม ก็มีเก็นติ้ง ตั้งมาเกือบ 40 ปี เดี๋ยวนี้ที่สิงคโปร์ก็มีกาสิโนถึง 2 แห่งคือที่มารินาเบย์แซนด์ส และที่เกาะสวนสนุกเซ็นโตซา ว่ากันว่าสิงคโปร์คงโหยหิวมานานเลยเล่นทีเดียว 2 กาสิโนซะเลย ยิ่งกว่านั้นที่มาเก๊าและฮ่องกงก็มีมานานแล้ว อาจกล่าวได้ว่ากาสิโนมีตามเมืองชายแดนแทบทุกแห่ง ยกเว้นในพื้นที่ประเทศไทย
ปรากฏการณ์ที่เหลือเชื่ออีกอย่างหนึ่งก็คือ แม้ประเทศไทยจะไม่มีกาสิโนอย่างเป็นทางการ หรือถือว่ากาสิโนเป็นสถานที่ผิดกฎหมาย แต่ในความเป็นจริง มีกาสิโนอยู่มากมาย ตำรวจเข้าทลายกาสิโนเป็นระยะ ๆ และที่ไม่ทลายก็คงมีอีกเป็นจำนวนมาก อาจกล่าวได้ว่ามีกาสิโนทุกหัวระแหงก็ว่าได้ ยิ่งกว่านั้นยังมีกาสิโนถูกกฎหมายอยู่เหมือนกัน เช่น การแข่งม้า เป็นต้น
ดร.โสภณไปประเมินค่าที่ดินที่จะทำกาสิโนโดยนักลงทุนมาเลเซียในชายแดนลาวพบว่า ที่ดินแปลงดังกล่าวมีราคาคิดเป็นเงินไทยคงไร่ละ 20 ล้านบาท ขณะที่ที่ดินฝั่งไทยที่ใช้เพื่อการเกษตรหรือทำธุรกิจทั่วไป คงมีราคาไร่ละไม่ถึงล้าน นี่เป็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงของศักยภาพของที่ดินที่ใช้ทำธุรกิจที่ได้กำไรงาม กับที่ใช้กันตามปกติ
ในด้านการเสียภาษีกาสิโนนั้น สิงคโปร์กำหนดให้กาสิโนต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% และเสียภาษีของกิจการอีก 17% ทำให้รัฐบาลมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากการนี้ สำหรับที่มาเลเซีย รัฐบาลเก็บภาษีหัก ณ ที่จ่ายประมาณ 30% ส่วนที่มาเก๊าเขาเก็บหนักถึง 35% และยังหักเพื่อสังคมอีก 2-3% รวมแล้วเกือบ 40% ของรายได้สุทธิของกาสิโน สำหรับที่สหรัฐอเมริกา เสียภาษี 7.5% - 32% (มลรัฐอินเดียนา) ของรายได้สุทธิ
รายได้จำนวนมหาศาลนี้สามารถนำมาพัฒนาประเทศได้มากมาย แต่หลายคนมองว่าเป็นภาษีบาป แต่ในความเป็นจริงนั้น คนที่เล่นการพนัน ก็มักจะเล่นเป็นอาชีพ เป็น "เซียน" แต่ก็ถือเป็นส่วนน้อย คนส่วนใหญ่ที่เล่นมักเป็นนักท่องเที่ยวเป็นสำคัญ ซึ่งแต่ละคนอาจใช้จ่ายเงินหรืออีกนัยหนึ่ง "บริจาคเงินให้กาสิโน" เพื่อการนี้ไม่มาก แต่โดยที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวมาก จึงได้เงินจากส่วนนี้มากเป็นพิเศษ
บางท่านอาจกล่าวว่าการมีกาสิโนทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรม แต่นี่เป็นความเข้าใจผิด อย่างกรณีคดีฆ่ากันตายนั้น อัตราของฮ่องกงคือ 0.2 สิงคโปร์ 0.3 มาเก๊า 0.7 ส่วนมาเลเซียคือ 2.3 สำหรับประเทศไทยที่ไม่มีกาสิโน กลับมีอัตราสูงถึง 4.8 นอกจากนั้นในกรณีของอินโดนีเซีย ก็มีอัตราสูงถึง 8.1 ทั้งที่ไม่มีกาสิโน ในความเป็นจริง การมีกาสิโนที่ถูกต้องตามกฎหมาย อาจช่วยลดอาชญากรรมที่เกิดจากการมีกาสิโนผิดกฎหมายก็ได้
กรณีตัวอย่างหนึ่งก็คือรายได้ของกาสิโนในลาสเวกัสเป็นเงินประมาณ 155,010 ล้านบาท แต่มีรายได้จากค่าที่พักอีก 93,180 ล้านบาท และจากอาหารและเครื่องดื่มอีก 87,690 ล้านบาท ความพยายามของเก็นติ้ง และกาสิโน 2 แห่งในสิงคโปร์ และอาจรวมถึงเกาะกงของกัมพูชา ก็คงหมายมั่นที่จะมีรายได้จากการอื่นเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน
ลำพังการพัฒนาพื้นที่ การซื้อเครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อการพนัน คงเป็นเงินไม่มากนัก และใช้พื้นที่ไม่มากนัก เมื่อเทียบกับส่วนที่เป็นที่พัก อาหารเครื่องดื่ม ตลอดจนแหล่งจับจ่ายใช้สอยต่าง ๆ โดยกรณีมารินาเบย์แซนด์ส มีศูนย์การค้าและศูนย์ประชุมขนาดใหญ่พิเศษสำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวและการจัดงานประชุมสัมมนาและแม้กระทั่งงานแต่งงาน
ดังนั้น การใช้กาสิโนเป็นตัวชูโรง (Anchor Tenant) จึงคุ้มค่ามาก ทุกวันนี้ใครไปสิงคโปร์แล้วไม่ได้ไปพักหรือไปเที่ยวเล่นที่มารินาเบย์แซนด์ส ก็คงถือว่าไปไม่ถึงสิงคโปร์แล้ว การพัฒนากาสิโนจึงเป็นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่น่าสนใจ
ยกตัวอย่างปอยเปตเจริญรุ่งเรืองเพราะมีกาสิโน มีประชากรประมาณ 100,000 คน ในขณะที่เทศบาลเมืองอรัญประเทศที่มีประชากรไม่ถึง 20,000 คนเท่านั้น แสดงว่าการพัฒนาไปอยู่ฝั่งปอยเปตเป็นหลัก กาสิโนในปอยเปตทำให้เศรษฐกิจเติบโต
ในบทความวิจัยของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติระบุว่า เงินการพนันตามชายแดนต่างๆ เป็นเงินรวมกันประมาณ 120,000 ล้านบาท โดยเฉพาะตามชายแดนกัมพูชานี้ก็ประมาณ 40,000 ล้านบาทต่อปี กาสิโนเหล่านี้สร้างในช่วงปี 2541-2545 จำนวน 7-8 แห่ง ถ้าประมาณการการดูดเงินจากประเทศไทยในช่วง 20 ปีที่ผ่านมาปีละ 40,000 ล้านบาท ก็เป็นเงินถึง 800,000 ล้านบาทแล้ว นี่เองที่ทำให้เศรษฐกิจกัมพูชาเติบโตอย่างรวดเร็ว
อาจกล่าวได้ว่าวันนี้ของปอยเปตล้วนมาจากเงินของนักการพนันของไทยแทบทั้งสิ้น นิคมอุตสาหกรรมมาในภายหลังเท่านั้น อันที่จริงไทยควรมีกาสิโนเช่นเดียวกับต่างประเทศ และมีข้อกำหนดในการเล่น เช่นที่สิงคโปร์ก็มีถึง 2 แห่งแล้ว การควบคุมที่ดีจะทำให้เงินไม่ไหลออกต่างประเทศ เงินไม่ไหลเข้าแหล่งนอกระบบ เงินที่ได้เป็นภาษีก็นำมาพัฒนาประเทศดีกว่าที่จะปล่อยให้ประเทศชาติตกต่ำไปเรื่อยๆ โดยข้ออ้างเดียวว่า “ไทยเป็นเมืองพุทธ”
การไม่มีกาสิโนในประเทศไทย ไม่มีบ่อนถูกกฎหมายในไทย ก็คือการทำให้เงินอยู่นอกระบบ กลายเป็นแหล่งทำเงินสำหรับมาเฟีย (มีสี) สารพัด สร้างความเหลื่อมล้ำ สร้างปัญหาให้กับสังคมไทย แต่การมีกาสิโนก็ไม่ได้ทำให้คนเล่นเพิ่มขึ้น ข้อนี้ก็พิสูจน์มาแล้วทั่วโลก ทั้งในเรโน ลาสเวกัส และอื่นๆ คนเล่นก็ล้วนมาจากที่อื่นเป็นหลัก หรือมาแบบ “นักท่องเที่ยว” มากกว่าจะเป็นพวก “มืออาชีพ”
สร้างกาสิโนในไทยเถอะ อย่าหลงคารมพวก "คนดีจอมปลอม" ที่ยกศีลธรรมมาแอบให้ท้ายกาสิโนและบ่อนผิดกฎหมายทั้งหลายเลย.
คอลัมน์อสังหาริมทรัพย์ต่างแดน
ดร.โสภณ พรโชคชัย ประธานศูนย์ข้อมูลวิจัยและประเมินค่าอสังหาริมทรัพย์ไทย บจก.เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส หรือ AREA (www.area.co.th)