'แบล็ค แอนด์ วิชช์' ชี้ พลังงานไฮโดรเจน ทิศทางใหม่ที่กำลังเติบโตในเอเชีย
กรุงเทพธุรกิจ จัดฟอรั่มความยั่งยืนต่อเนื่องเป็นปีที่ 5 ระหว่างวันที่ 3-4 ธันวาคม 2567 ณ พารากอน ฮอลล์ เป็นการรวมตัวครั้งสำคัญของทุกหน่วยงาน เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจผ่านแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนครอบคลุม 3 มิติ ได้แก่ 1) เศรษฐกิจ 2) สังคม 3) สิ่งแวดล้อม
“เจอริน ราช” ผู้อำนวยการประจำเอเชียใต้และตะวันออกเฉียงใต้ และไต้หวัน บริษัท Black & Veatch จำกัด ร่วมเสวนาในหัวข้อ Green Energy Transition ในงาน "Sustainability Forum 2025: Synergizing for Driving Business" ของกรุงเทพธุรกิจ โดยกล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบสำคัญของการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน แต่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีที่มีความเหมาะสมในบริบทปัจจุบัน ซึ่งต้องมีความสามารถในการเข้าถึงที่เป็นมิตร มีเสถียรภาพ น่าเชื่อถือ และสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเทคโนโลยีจะมีความสำคัญ แต่มันยังอยู่ในบริบทที่ซับซ้อนอย่างมากเกี่ยวกับนโยบาย กฎระเบียบ เศรษฐกิจ สถานการณ์ทางสังคม ข้อตกลงการทำสัญญา และรูปแบบการดำเนินงาน
“ผมไม่สามารถกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวคือองค์ประกอบสำคัญ เพราะองค์ประกอบทุกอย่างล้วนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และจำเป็นต้องได้รับการจัดสรรอย่างเหมาะสม ถ้าใดสิ่งหนึ่งล้มเหลว เทคโนโลยีที่เราเลือกก็จะล้มเหลวเช่นกัน ดังนั้น การเปลี่ยนผ่านไปสู่พลังงานที่ยั่งยืนต้องใช้วิธีการแบบองค์รวมที่รวมองค์ประกอบทุกอย่างเข้าด้วยกัน”
ระดับความพร้อม TRL
“เจอริน” กล่าวว่า การเข้าใจระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL) มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะสำหรับบริษัทที่ปรึกษาและวิศวกรรม รวมถึงลูกค้า การเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับ TRL ช่วยให้สามารถประเมินความเหมาะสมทางเศรษฐกิจของเทคโนโลยีต่างๆ ได้
เพื่อเร่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ในความยั่งยืน เราต้องจัดการหลายด้านพร้อมกัน เช่น การเปลี่ยนผ่านจากการใช้ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติอาจใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเปลี่ยนผ่านในช่วง 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า
เอเชียยังใช้พลังงานหมุนเวียนน้อย
“นอกจากนี้ เราจำเป็นต้องเร่งการใช้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม แม้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้จะได้รับความเข้าใจ และคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ แต่การนำไปใช้ในเอเชียยังคงจำกัด ตัวอย่างเช่น ประเทศอินเดียได้ติดตั้งพลังงาน 150 กิกะวัตต์ในหนึ่งปี ขณะที่ประเทศไทยมีเป้าหมายเพียง 15 กิกะวัตต์ในอีก 10 ปีข้างหน้า”
การจัดการกริด (Grid) รวมถึงการรับรองความยืดหยุ่นและการเชื่อมต่อของกริด เป็นอีกด้านหนึ่งที่มีประโยชน์มาก กริดที่มีขนาดใหญ่และกระจายตัวสามารถแก้ปัญหาหลายอย่างที่เกี่ยวกับการเก็บพลังงานได้ โดยการจัดการความต้องการพลังงานอย่างเหมาะสม นอกจากนี้ Microgrids ก็มีความสำคัญเช่นกัน เนื่องจากช่วยให้การผลิตและการบริโภคพลังงานมีความกระจายตัว
การวางแผนแบบองค์รวมมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเร่งการนำเทคโนโลยีมาใช้ ซึ่งหมายถึงการวางแผนในฐานะระบบแทนการแยกออกเป็นส่วน ๆ และการลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการเลือกเทคโนโลยีในทุกสเปกตรัมของการบริโภคพลังงาน
เทรนด์แต่ละประเทศ
“เจอริน” กล่าวต่อว่า ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ความชัดเจนด้านกฎระเบียบเป็นอุปสรรคสำคัญ เช่น บริษัทไม่ต้องการลงทุนในเทคโนโลยีดักจับคาร์บอนเนื่องจากไม่มีกรอบกฎระเบียบที่ชัดเจน รวมถึงวิธีการหารายได้จากการดักจับคาร์บอน
ขณะที่สิงคโปร์ก้าวหน้าในด้านนี้ แต่ประเทศอื่นยังตามหลัง ส่วนในมาเลเซีย มีความสนใจเพิ่มขึ้นในด้านไฮโดรเจน โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลผ่าน Petronas และหน่วยงานอื่นๆ ซึ่ง CEO ของ Petronas ได้กล่าวถึงเป้าหมายหลักในการลงทุนค้นหาเทคโนโลยีใหม่
ความท้าทายอยู่ที่การสร้างความชัดเจนและเจตนาในการดำเนินการตามทางเลือกเหล่านี้ การแก้ไขปัญหาเหล่านี้จะส่งผลอย่างมากต่อการนำเทคโนโลยีที่ยั่งยืนมาใช้ในภูมิภาคนี้
ต้นทุนพลังงานไฮโดรเจนสูง
มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจหลายอย่างกำลังพัฒนาอย่างจริงจังในภูมิภาคนี้ เช่น เชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นใหม่และยั่งยืนในรูปแบบของไฮโดรเจน แอมโมเนีย และเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) รวมถึงเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน รายงานล่าสุดคาดว่าเอเชียมีศักยภาพในการดักจับคาร์บอนถึง 50 ล้านตันต่อปี ซึ่งมีความน่าสนใจ แต่ความสำเร็จของเทคโนโลยีเหล่านี้ขึ้นอยู่กับความชัดเจนของนโยบาย กฎระเบียบ และตลาดคาร์บอน
“ต้นทุนพลังงานที่ได้จากไฮโดรเจนสีเขียวสูงกว่าถ่านหินหรือก๊าซธรรมชาติมาก ดังนั้นอาจจะเป็นการดีที่จะเริ่มเรียนรู้การใช้ไฮโดรเจนในรูปแบบสีฟ้าก่อนที่จะเปลี่ยนไปใช้ไฮโดรเจนสีเขียวอย่างเต็มที่ ไฮโดรเจนมีความท้าทายในการเก็บรักษาและขนส่ง ทำให้แอมโมเนียกลายเป็นสื่อกลางที่น่าสนใจสำหรับการขนส่งไฮโดรเจน”
ในภูมิภาคนี้ มีผู้เล่นหลายรายกำลังพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับไฮโดรเจนอย่างจริงจัง ตัวอย่างเช่น การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยกำลังพิจารณาใช้ไฮโดรเจนในโรงไฟฟ้าพลังงานร่วมที่มีอยู่ ในขณะที่มาเลเซียกำลังแปลงไฮโดรเจนเป็นแอมโมเนียหรือผสมกับโทลูอีนเพื่อสร้าง MCH และส่งออกไปยังเกาหลีหรือญี่ปุ่น
สิงคโปร์ก็กำลังลงทุนในไฮโดรเจนอย่างหนัก สำหรับเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็ก (SMRs) และพลังงานนิวเคลียร์ ผมเชื่อว่า SMRs มีศักยภาพที่ดี การสร้างโครงการนิวเคลียร์เป็นความท้าทายใหญ่เนื่องจากข้อกังวลด้านความปลอดภัยและความซับซ้อนในการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม SMRs ที่มีขนาด 30, 60 หรือ 120 เมกะวัตต์ มีความสามารถในการจัดการได้ดีกว่าและเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีสำหรับความซับซ้อนของพลังงานหมุนเวียน
พลังงานนิวเคลียร์
พลังงานแสงอาทิตย์ก็มีความท้าทาย เช่น การกำจัดแผงโซลาร์เมื่อหมดอายุการใช้งาน และแบตเตอรี่มีปัญหาเกี่ยวกับการสกัดวัสดุและการจัดการเมื่อหมดอายุ จากมุมมองนี้ พลังงานนิวเคลียร์เสนอวิธีแก้ปัญหาที่ดีสำหรับความซับซ้อนเหล่านี้
ปัจจุบัน มีโครงการ SMR นิวเคลียร์หลายโครงการที่อยู่ในระดับความพร้อมทางเทคโนโลยี (TRL) 6 ตัวอย่างหนึ่งคือการออกแบบแนวคิดที่ศูนย์ข้อมูล (data center) ถูกขับเคลื่อนโดย SMR ขนาด 90 เมกะวัตต์ ซึ่งทำให้ศูนย์ข้อมูลพึ่งพาตนเองในด้านน้ำและพลังงาน โดยมีการพึ่งพาเครือข่ายโทรคมนาคมจากภายนอกเพียงอย่างเดียว
แม้ว่าเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นมีความน่าสนใจ แต่ความสำเร็จขึ้นอยู่กับการดำเนินการแบบองค์รวมที่รวมถึงความชัดเจนด้านนโยบาย กรอบกฎหมาย และความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ