Media Sector สื่อ OOH มีแนวโน้มสดใส (1 ก.ย. 2565)
ผลประกอบการของสื่อ OOH ตั้งแต่ต้นปีนี้มาแสดงให้เห็นแล้วว่าธุรกิจนี้ได้อานิสงส์จากการที่เศรษฐกิจฟื้นตัวหลัง COVID ซึ่งเรามองว่าที่จุดนี้ยังคงเพิ่งเป็นเพียงช่วงเริ่มต้นของวัฏจักรการเติบโตของกำไรเท่านั้น
เพราะส่วนแบ่งตลาดของรายได้จากกลุ่มสื่อ OOH ยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอนาคตเมื่อเทียบกับกลุ่ม TV เราคิดว่าการรวมตัวกันในตลาดที่นำโดย PLANB จะทำให้สื่อ OOH ชิงส่วนแบ่งตลาดยอดโฆษณามาจากสื่อ TV ได้เพิ่มอีก โดยเรามองว่า PLANB เป็นหุ้นสื่อ OOH แท้ และเป็นหุ้นเด่นของเราในกลุ่มนี้ ราคาเป้าหมายที่ 8.50 บาท
ผลประกอบการใน 1H22 ของกลุ่มสื่อ OOH ดีกว่าสื่อ TV อย่างชัดเจน
กำไรสุทธิของหุ้นกลุ่มสื่อใน 2Q22 อยู่ที่ 306 ล้านบาท (+244% yoy, +365% qoq) โดยปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตของกำไรใน 2Q22 มาจากสื่อ OOH ซึ่งส่วนใหญ่มาจาก PLANB และโรงภาพยนตร์ โดย PLANB พลิกเป็นกำไรสุทธิ 175 ล้านบาท ใน 2Q22 จากที่ขาดทุน 42 ล้านบาทใน 2Q21 และดีขึ้นถึงเกือบ 60% qoq ซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น และได้อานิสงส์จาก operational leverage ในขณะเดียวกัน MAJOR ก็พลิกเป็นกำไรใน 2Q22 ด้วยเช่นกันจากที่ขาดทุนใน 2Q21 และ 1Q22 ส่วนในกรณีของ VGI แม้จะจัดเป็นกลุ่มสื่อ OOH เหมือนกัน แต่ VGI ดำเนินกลยุทธ์ต่างกับ PLANB ทำให้ไม่ได้อานิสงส์เต็มที่จากการฟื้นตัวของสื่อ OOH สำหรับผลประกอบการของผู้ประกอบการสื่อ TV ซึ่งได้แก่ BEC และ WORK แย่ลงอย่างมากทั้ง yoy และ qoq เพราะต้นทุนที่พุ่งสูงขึ้น (โดยเฉพาะต้นทุนการผลิตรายการ) ฉุดผลประกอบการใน 2Q22 ในขณะที่รายได้จากสื่อ TV ลดลง yoy
คาดว่ารายได้จากสื่อ OOH จะโตต่อไปได้อีกหลายปี
เรายังคงมุมมองที่ระมัดระวังกับหุ้นกลุ่มสื่อ โดยเฉพาะในระยะสั้น เนื่องจากเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นจะฉุดกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้น เราจึงยังคงชอบสื่อ OOH มากกว่าสื่อ TV เนื่องจากเหตุผลสามประการ ได้แก่ i) มีการตัดงบโฆษณาบนสื่อ OOH ลงอย่างมากในช่วงที่ COVID ระบาดในปี 2020-2021 ดังนั้น การที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจดีขึ้น และผู้คนกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศ และกลับเข้าเรียนที่สถานศึกษาจึงน่าจะมีบทบาทสำคัญที่ช่วยหนุนให้รายได้จากสื่อ OOH เพิ่มขึ้นได้ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป ii) เรามองว่ายอดโฆษณาผ่านสื่อ OOH ของไทยยังมีช่องให้เติบโตได้อีกอย่างน้อยสามปี เพราะวิถีชีวิตของคนไทยมีแนวโน้มจะอยู่นอกบ้านมากกว่าอยู่บ้าน ดังนั้น สัดส่วนของรายได้จากสื่อ OOH ในประเทศไทยที่ 15% จึงน่าจะยังขยายตัวได้อีกโดยเทียบจากของประเทศที่พัฒนาแล้วในเอเชียอย่างเช่น ฮ่องกง (20%) และสิงคโปร์ (17%) iii) เรามองว่าการที่ธุรกิจในกลุ่มสื่อ OOH รวมตัวกันในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งนำโดย PLANB จะทำให้เกิดกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ อ่างเช่น BKK takeover ที่ออกมาในปี 2018 ซึ่งจะทำให้สามารถชิงงบโฆษณามาจากสื่อ TV ได้มากขึ้น
เราเลือก PLANB เป็นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้
ในขณะที่เราชอบหุ้นกลุ่มสื่อ OOH มากกว่าสื่อประเภทอื่น ๆ แต่เราเลือก PLANB เป็นหุ้นเด่นเพียงตัวเดียวของเราในกลุ่มสื่อ โดยยังคงราคาเป้าหมายเอาไว้ที่ 8.50 บาท เรามีเหตุผลสองข้อที่ทำให้เราชอบ PLANB มากกว่า VGI ได้แก่ i) PLANB จะได้อานิสงส์เต็มที่จากขาขึ้นของสื่อ OOH เพราะมี exposure มากกว่า VGI ii) PLANB ไม่ได้ถือหุ้นในธุรกิจอื่น ๆ ดังนั้น รายได้ที่พุ่งสูงขึ้นของสื่อ OOH จะแปลไปเป็นการเติบโตของกำไรแบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย