Commerce Sector ได้แรงหนุนจากปัจจัยเฉพาะตัว
ประมาณการกำไรของหมวด home improvement และแนวโน้มของธุรกิจ
ประมาณการ 4Q65: กำไรจะลดลง YoY แต่จะเพิ่มขึ้น QoQ
เราคาดว่ากำไรสุทธิรวมใน 4Q65F ของบริษัทในหมวด home improvement ที่เราศึกษาอยู่ (Dohome PCL (DOHOME.BK/DOHOME TB)*, Siam Global House PCL (GLOBAL.BK/GLOBAL TB)* และ Home Product Center PCL (HMPRO.BK/HMPRO TB)*) จะอยู่ที่ 2.7 พันล้านบาท (-5% YoY, +14%QoQ) ทำให้กำไรสุทธิรวมในปี 2565F อยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท (+4% YoY) ทั้งนี้ เมื่อเทียบ QoQ กำไรของ DOHOME น่าจะมีอัตราการเติบโตสูงที่สุดที่ 116% QoQ เนื่องจากอัตรากำไรฟื้นตัวขึ้นหลังจากที่ลดลงไปใน 3Q65 เพราะราคาเหล็กลดลง อย่างไรก็ตาม เราคาดว่ากำไรของ DOHOME จะแย่ที่สุดในกลุ่มเมื่อเทียบ YoY โดยคาดว่าจะลดลงถึง 67% YoY เนื่องจาก SSSG ติดลบ (น้ำท่วมร้านที่อุบลราชธานีในเดือนตุลาคม 2565) ในขณะที่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลง 2.2ppts YoY (เนื่องจากราคาเหล็กลดลงอย่างมาก) เราคาดว่ากำไรของทั้ง HMPRO และ GLOBAL จะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ เนื่องจากกำลังเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว และมีการใช้กลยุทธ์ house brand (ในส่วนของ GLOBAL) และปัจจัยฤดูกาลรวมถึงการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจอีกครั้ง (ในส่วนของ HMPRO)
กำไรจะได้แรงส่งในระยะต่อไปจากปัจจัยที่แตกต่างกัน
เราพบว่าบริษัทในกลุ่ม home improvement ที่เราศึกษาอยู่มีปัจจัยเฉพาะตัวที่จะช่วยหนุนผลการดำเนินงานในปี 2566 เราคาดว่ากำไรของ DOHOME จะเพิ่มขึ้น 35% YoY ในปี 2566 (โดดเด่นกว่า GLOBAL และ HMPRO) เนื่องจากมีการปรับฐานกำไรในปีนี้จากการที่ราคาเหล็กลดลง เราคาดว่ายอดขายของ DOHOME จะเพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาร้าน ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นจะได้แรงหนุนจากการที่ margin ของเหล็กเริ่มทรงตัว และมีการใช้กลยุทธ์ house brand เราคาดว่ากำไรของ HMPRO จะเพิ่มขึ้น 15% YoY ในปี 2566 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ (คาดว่าจะอยู่ที่ 11 ล้านคนในปี 2565F และจะเพิ่มเป็น 25 ล้านคนในปี 2566F) เราคาดว่ากำไรของ GLOBAL จะเพิ่มขึ้น 6% YoY ในปี 2566 จากการขยายสาขาร้าน และกลยุทธ์ house brand ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าอัตราการเติบโตของกำไรของ HMPRO และ GLOBAL จะด้อยกว่า DOHOME แต่เราคาดว่ากำไรของ HMPRO และ GLOBAL จะทำสถิติสูงสุดใหม่ในแง่ของจำนวนเงิน ในขณะที่กำไรของ DOHOME จะยังไม่กลับไปถึงระดับสูงสุดในปี 2564 ที่ 1.8 พันล้านบาท โดยราคาเหล็กที่ลดลงอย่างต่อเนื่องจะยังเป็นปัจจัยความท้าทายของ DOHOME ในการบริหารจัดการอัตรากำไร
กำหนด PER ในระดับที่แตกต่างกัน
ในการประเมินราคาเป้าหมายของ HMPRO เรายังคงใช้ PER ที่ 35.0x (+1.0 S.D) เพราะคาดว่ากำไรจะเติบโตได้ระดับปานกลาง จากการที่ภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคดีขึ้น ส่วนราคาเป้าหมายของ GLOBAL เราใช้ PER ที่ 31.0x (เท่ากับค่าเฉลี่ย) เพราะมองว่ากำไรยังมีศักยภาพที่จะเติบโตได้ และมีความผันผวนน้อยเนื่องจากยอดขายเหล็กคิดเป็นสัดส่วนต่ำกว่าเมื่อเทียบกับยอดขายรวม (15-20% ในขณะที่ของ DOHOME อยู่ที่ 25-30%) สำหรับราคาเป้าหมายของ DOHOME เราใช้ PER ที่ 27.0x (-1.0 S.D) เพื่อสะท้อนถึงความเสี่ยงจากการที่ margin จะถูกบีบจากการที่ราคาเหล็กลดลง และ ผลประกอบการปี 2566 ด้อยกว่าหุ้นอื่นในกลุ่ม (ในแง่จำนวนเงิน)
Valuation & action
เรายังคงให้น้ำหนักหุ้นกลุ่ม Commerce ที่ Overweight เราแนะนำ “ซื้อ” HMPRO โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 19.00 บาท (PER ที่ 35.0x; +1.0 S.D.) แนะนำ “ซื้อ” GLOBALโดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 24.40 บาท (PER ที่ 31.0x; เท่ากับค่าเฉลี่ย) และ แนะนำ “ถือ” DOHOME โดยประเมินราคาเป้าหมายสิ้นปี 2566 ที่ 12.20 บาท (PER ที่ 27.0x; -1.0 S.D.)
Risks
เศรษฐกิจชะลอตัวลง, ถูก disrupt จากเทคโนโลยีใหม่, ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ, พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป, ขยายสาขาได้น้อยกว่าที่วางแผนเอาไว้, การหาทำเลเปิดสาขา