วิเคราะห์หุ้นรายตัว : บล.โกลเบล็ก - IRC “ถือ” ราคาเหมาะสม 15.00 บาท
รายงานกำไร 2Q66 ที่ 61 ลบ. เติบโตอย่างมีนัยสำคัญQoQ แต่หดตัว 5%YoY จากต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวลง : รายงานกำไร 2Q66 (ม.ค.-มี.ค.66) ที่ 61 ลบ. ซึ่งเป็นไปตามที่เราคาดไว้ โดยรายได้หดตัว 1%QoQ และหดตัว 8%YoY สู่ 1.46 พันลบ.
ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์เดือน ม.ค.-มี.ค.66 ปรับตัวขึ้น 5.8%YoY แต่หดตัว 2.3%QoQ สู่ 507,787 คัน และยอดการผลิตรถจักรยานยนต์เดือน ม.ค.-มี.ค.66 เติบโต 18.7%YoY และเติบโต 7.3%QoQ สู่ 580,678 คัน ด้านอัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ 7.0% สู่ 10.0% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบ อาทิ Polymers และ Chemical and Fillers อ่อนตัวลงตามราคาน้ำมันและการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวที่ 6.2% เนื่องจากการควบคุมค่าใช้จ่ายของบริษัท ทั้งนี้ กำไร 1H66 อยู่ที่ 76.6 ลบ. หดตัว 16.1%YoY และคิดเป็นสัดส่วน 40% ของประมาณการ
- ยอดการผลิตรถยนต์เดือน ม.ค.-เม.ย. 66 เติบโต 4.6%YoY เนื่องจากอุปสงค์เติบโตจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว : ยอดการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์รวมเดือน ม.ค.-เม.ย. 66 อยู่ที่ 625,423 คัน และ 721,122 คันเติบโต 4.6%YoY และเติบโต 16.3%YoY ตามลำดับ โดยการผลิตรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่เติบโตจากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ขณะที่สภาอุตสาหกรรมฯ คงคาดการณ์ยอดการผลิตรถยนต์ปี 66 ที่ 1.95 ล้านคันเติบโต 8.1%YoY และคาดว่ายอดการผลิตจักรยานยนต์จะเติบโต 4.2%YoY สู่ 2.10 ล้านคัน
- คงประมาณการกำไรปี 66 ที่ 192 ลบ. +75%YoY เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเริ่มปรับตัวลงหนุนผลประกอบการ 2H66 เติบโต HoH : กำไร 1H66 อยู่ที่ 76.6 ลบ. คิดเป็น 40 %ของประมาณการแต่เราคงประมาณการกำไรปี 66 ที่ 192 ลบ. +75%YoY เนื่องจากคาดว่าต้นทุนวัตถุดิบจะลดลงตามราคาน้ำมันส่งผลให้ผลประกอบการ 2H66 ดีกว่า 1H66 ทั้งนี้ เราคงประมาณการรายได้ปี 66 ที่ 6.34 พันลบ. เพิ่มขึ้น 7% จากปี 65 เนื่องจากคาดว่ายอดการผลิตรถยนต์ปี 66 สู่ 1.95 ล้านคัน เติบโต 8%YoY เนื่องจากอุปสงค์เติบโตตามการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว ทั้งนี้ เราคงสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นที่ 9.5% (GPM 2H66 อยู่ที่ 8.5% และ GPM 2Q66 อยู่ที่ 10.0%) โดยคาดว่า GPM จะปรับตัวดีขึ้นเนื่องจากสต็อกวัตถุดิบที่มีต้นทุนสูงทยอยหมดตั้งแต่ มี.ค. 66 และเริ่มใช้วัตถุดิบใหม่ซึ่งมีต้นทุนลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มปรับตัวลง
- เพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” แต่คงราคาเหมาะสม 15.00 บาท : ฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าด้วยวิธี Price to Earnings Ratio (P/E Ratio) โดยอิงค่าเฉลี่ย P/E Ratio ย้อนหลัง 3 ปี ที่ 15.0 เท่า และคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 66 ที่ 1.00 บาทต่อหุ้น ได้ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 15.00 บาทต่อหุ้น โดยคาดหวัง Yield ปี 66 และ 67 ที่ 4.7% และ 7.3% ตามลำดับ ทั้งนี้ ราคาปิดล่าสุดยังมี upside อีกราว 10% เราจึงปรับเพิ่มคำแนะนำจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ”
ปัจจัยเสี่ยง
i) สงครามจีนและไต้หวันกระทบห่วงโซ่อุปทาน
ii) ราคาน้ำมันและวัตถุดิบปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง