วิเคราะห์หุ้น : บล.เคจีไอฯ PFund-REITs-IFF ถอด DIF ออกจากการเป็นกองเด่นของเรา
ปรับพอร์ตก่อนเริ่มปี 2567
DIF ดูไม่น่าสนใจในบรรดากองเด่นของเรา
หลังจากที่เราถอด JASIF ออกจากกองเด่นของเราไปเมื่อเดือนเมษายน เราคิดว่า DIF ดูมีความเสี่ยงเนื่องจาก i) ผลประกอบการแผ่วลงหลังจากที่ TRUE ควบรวมกับ DTAC ii) อาจจะมีการเจรจาปรับสัญญาเช่าเพื่อให้เป็นประโยชน์กับเครือข่ายที่ใหญ่ขึ้นของ TRUE และ iii) DPU รายไตรมาสลดลง (อย่างที่พบในช่วงสี่ไตรมาสที่ผ่านมา (จาก 0.26 บาท/หน่วย เหลือ 0.23/หน่วยใน 3Q66) นอกจากนี้ ราคากองทุน DIF ยังลดลงมาถึงประมาณ 43% YTD สะท้อนถึงผลกระทบด้านลบจาก i) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และ ii) ความกังวลว่า TRUE ควบรวมกับ DTAC จะกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดความไม่แน่นอน ดังนั้น เราจึงคิดว่า DIF ไม่เหมาะจะเป็นกองเด่นในพอร์ตของเรา ในขณะที่มองว่า CPNREIT ซึ่งเราเพิ่งเลือกมาเมื่อเดือนที่แล้วแข็งแกร่งมากพอในแง่ของแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง และดูดีกว่าที่จะเข้ามาเป็นกองเด่นของเราในปี 2567 แทน DIF
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม, ค้าปลีก และโรงแรมดูน่าสนใจมากกว่า
เราไม่แนะนำกองทุนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสื่อสารเป็นกองเด่นของเรา เนื่องจากมีความเสี่ยงทั้งจากตัวกองทุนเอง (การเจรจาต่อรองค่าเช่า) และปัจจัยภายนอก (ได้แก่ ความเสี่ยงด้านกฎเกณฑ์ของทางการ,ความพึงพอใจของผู้บริโภค) ดังนั้น เราจึงมองว่ามีบางธุรกิจที่เป็นตัวเลือกที่ดีกว่าสำหรับนักลงทุนที่เลือกลงทุนในกอง PFund-REITs-IFF ได้แก่ i) กลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากกระแสเงินทุนไหลเข้าเพราะอุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้า (WHAIR และ AMATAR) ii) กลุ่มที่ธุรกิจฟื้นตัวต่อเนื่องถึงระดับก่อน COVID ระบาด (CPNREIT และ ALLY) และ iii) กลุ่มที่ผลตามแทนมั่นคงจากประเภทของกองทุนที่มี
เงื่อนไขซื้อคืนและธุรกิจฟื้นตัวดีขึ้น (GROREIT)
นิคมอุตสาหกรรม: คาดว่ายอดขายที่ดินจะทำสถิติสูงสุดใหม่
พัฒนาการด้านบวกของรถยนต์ไฟฟ้า (EV) จะส่งผลดีต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมซึ่งเมื่ออิงจากบทวิเคราะห์กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมของ KGI ฉบับวันที่ 22 พฤศจิกายน เราคาดว่ายอดขายที่ดินใน 4Q66F จะแข็งแกร่งและทำให้ยอดขายที่ดินในปี 2566 ของผู้ประกอบการในประเทศไทยทำสถิติสูงสุดในรอบ 10 ปี นอกจากนี้ ยอดยื่นขอสิทธิประโยชน์ BOI จากการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (FDI) ยังสูงถึง 3.99 แสนล้านบาท (+43% YoY) ในช่วงเก้าเดือนแรกของปีนี้ และคิดเป็น 77% ของยอดยื่นขอ BOI ทั้งหมดในประเทศไทย
ค้าปลีก: ได้โมเมนตัมบวกจากการฟื้นตัวของธุรกิจ
เราชอบธุรกิจค้าปลีกจากแนวโน้มการฟื้นตัวของกองทุนที่มีสินทรัพย์ดีอยู่ในพอร์ต (อย่างเช่น CPNREIT และ Ally) ซึ่งเมื่อมอไปข้างหน้า เราคิดว่าจะมีกำลังซื้อสุทธิเพิ่มเข้ามาในระบบ 1.88 แสนล้านบาทจากนโยบายต่าง ๆ ของภาครัฐ (การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ, การขึ้นเงินเดือนข้าราชการ และ 0erefunds)
โรงแรม: จะได้อานิสงส์จากการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ถึงแม้ว่านักท่องเที่ยวจีนจะมีแนวโน้มกลับมาเที่ยวไทยช้ากว่าที่คาดไว้ในปี 2566-2567F แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวมน่าจะยังเพิ่มขึ้น YoY ในปี 2567F ดังนั้น เราจึงคาดว่าทั้ง RevPar และ occupancy rate น่าจะสูงขึ้นทั้งคู่ในอีกสองสามปีข้างหน้า ซึ่งจะส่งผลให้ผลการดำเนินงานของผู้ประกอบการโรงแรมแข็งแกร่งขึ้น
Recommendation
สำหรับในปี 2567 เราเริ่มต้นปีด้วยการแนะนำ 5 กองที่มีแนวโน้มบวกจากศักยภาพในการเติบโตหรือการฟื้นตัวในระยะยาว โดย i) มีสัดส่วน risk/reward เหมาะสม ii) มีโอกาสทำกำไรจากการลงทุนโดยมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูง (7%-10% p.a.) และ iii) มีความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ เมื่อเทียบกับธุรกิจอื่น ๆ ดังนั้น เราจึงแนะนำกองเด่นดังนี้ i) กองเด่นระดับแนวหน้า: CPNREIT, WHAIRและ AMATAR และ ii) กองเด่นระดับรอง: ALLY และ GROREIT
Risks
COVID-19 ระบาด, เศรษฐกิจชะลอตัวลง, การเมืองขาดเสถียรภาพ