วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ ติดตามการโหวตนายกฯ ใหม่ ศุกร์นี้
อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ออกมาต่ำคาด และต่ำสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 64 วานนี้สหรัฐฯ มีการรายงานตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อ (CPI) สำหรับเดือน ก.ค. โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไป อยู่ที่ +2.9% yoy ใกล้เคียงกับตลาดคาดที่ +3.0% yoy
โดยตัวเลขดังกล่าวถือเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ มี.ค. 64 (ก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรก) เรายังคงมองว่ามีโอกาสสูงที่ Fed จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมวันที่ 17-18 ก.ย. นี้ หากมีการปรับลดจะส่งผลให้ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ กับไทยแคบลง ซึ่งเราคาดว่าจะสามารถช่วยบรรเทาแรงขายตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติได้ สำหรับหุ้นกลุ่มที่เราคาดจะได้ประโยชน์หลัก ในช่วงที่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ กลุ่มอสังหาฯ, สื่อสาร, โรงไฟฟ้า และ REITS เป็นต้น
ศาลรัฐธรรมนูญถอดนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง : หุ้นไทยปรับตัวลดลง 0.39% ขณะที่กลุ่มค้าปลีกลดลง 3-5% หลังคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีเศรษฐา และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องพ้นจากตำแหน่ง โดยนายภูมิธรรม เวชยชัย จะเป็นผู้นำของครม.รักษาการ สถานการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดความไม่แน่นอนเรื่องเสถียรภาพเศรษฐกิจ และการดำเนินนโยบาย โดยเฉพาะโครงการดิจิทัลวอลเล็ต สภาผู้แทนราษฎรจัดการประชุมพิเศษในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค.เพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยแคนดิเดตสำคัญ คือ ชัยเกษม นิติสิริ จากพรรคเพื่อไทย และอนุทิน ชาญวีรกุล จากภูมิใจไทย // หากนายกรัฐมนตรีใหม่มาจากเพื่อไทย (โอกาส 50%) คาดนโยบายต่างๆจะเดินหน้าต่อเนื่อง ขณะที่หากนายกรัฐมนตรีมาจากพรรคอื่น (โอกาส 40%) จะมีความเสี่ยงของการเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกโครงการ โดยเฉพาะดิจิทัลวอลเล็ต โดยเรามองความเสี่ยงยุบสภาอยู่ในระดับต่ำ (10%) // สำหรับกลุ่มค้าปลีก เรามองเป็นโอกาสซื้อเมื่ออ่อนตัว โดยมีหุ้นเด่นคือ CPALL สำหรับกลุ่มสาธารณูปโภค แม้ไม่ได้รับผลดีจากสถานการณ์ดังกล่าวโดยตรง แต่เรามองผลตอบแทนปันผลที่สูงและ Valuation ที่ไม่แพง ทำให้การลงทุนช่วยหักล้างความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน โดยเราชอบ EGCO และ RATCH
ภาพรวมกลยุทธ์ ฟื้นตัวและยังมีบรรยากาศเก็งกำไรรายตัวเชิงบวก แต่ยังมองช่วง 1-2 เดือนนี้ เงินมีโอกาสเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย คาดกลุ่มคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด ขณะที่ใชัจังหวะผันผวนสะสมหุ้นที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก
แนวรับ: 1,270-1,285 / แนวต้าน : 1,305-1,310 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• SAMART* (8) : ผลประกอบการมีแนวโน้มฟื้นตัว และได้ประโยชน์จากการกลับมาของรายจ่ายภาครัฐ หากไม่รวมขาดทุนจากคดีช่วงเอเชี่ยนเกมส์ จะมีกำไร 101 ล้านบาท +83% QoQ และ +292% YoY ตัดขาดทุน 5.60 บาท
• RATCH* (36) : ผลประกอบการไตรมาส 2-3/67 แข็งแกร่ง จากการรับรู้รายได้จากทั้งโรงไฟฟ้าหินกองและไพธอน ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปีนี้ 8 เท่า และปันผล 6% ตัดขาดทุน 27 บาท
• EGCO* (116) : ราคาหุ้นตอบรับผลประกอบการที่อ่อนแอจากการตั้งสำรองโครงการผลิตไฟฟ้าที่ต่างประเทศไปแล้ว ขณะที่ปัจจุบัน ซื้อขายด้วย PER 8x, PBV 0.46x และให้ปันผล 6.72% ตัดขาดทุน 93 บาท
• GUNKUL* (2.40) : ผลประกอบการไตรมาส 2/67 เติบโต QoQ, YoY และเข้าสู่ high season ไตรมาส 3 ขณะที่ผลตอบแทนปันผลระหว่างกาลสูงถึง 4% ตัดขาดทุน 1.955 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- มติศาลรัฐธรรมนูญ 5:4 สั่ง เศรษฐา ทวีสิน พ้นเก้าอี้นายกฯ ส่งผลให้ ครม. ไปทั้งคณะ แนะติดตามการโหวตเลือกนายกฯ ใหม่ ในวันที่ 16 ส.ค. นี้
- พรรคเพื่อไทย เคาะชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” ชิงเก้าอี้นายกฯ คนที่ 31
- สหรัฐเผยดัชนี CPI +2.9% เดือนก.ค. ต่ำกว่าคาดการณ์
- ราคาน้ำมัน WTI พลิกดิ่งเกือบ 1% หลุด $78 หลังเผยสต็อกน้ำมันเพิ่ม
- ดัชนี VIX ร่วงกว่า 3% นักลงทุนคลายวิตกเงินเฟ้อ หลัง CPI/PPI ต่ำคาด
- CK แนะนำ “ซื้อ” เป้า 26.50บาท/ CPF แนะนำ “ซื้อ” เป้า 30บาท/ BDMS แนะนำ “ซื้อ” เป้า 32บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
16 ส.ค. – ติดตามการโหวตเลือกนายกฯ คนใหม่