วิเคราะห์แนวโน้มตลาด : บล.ยูโอบี เคย์ เฮียนฯ เลือกเก็งกำไรรายตัว ระหว่างรอการแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่
ติดตามการประชุมประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ฟื้นตัวขึ้นมาดีสัปดาห์ก่อนเนื่องจาก 1) การรายงานตัวเลขเกี่ยวกับเงินเฟ้อในสัปดาห์ก่อนหน้าทั้ง PPI และ CPI ออกมาหนุนการปรับลดดอกเบี้ย
2) ตัวเลขยอดค้าปลีกก.ค.ที่ออกมาดี (+1% MoM vs คาดการณ์ +0.4% MoM) และความเชื่อมั่นผู้บริโภค (+67.8 vs คาดการณ์ +66.9) ที่เพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน เป็นการบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจวหรัฐฯ ยังแข็งแกร่งและลดความเสี่ยงของการถดถอย โดยนักลงทุนรอติดตามมุมมองดอกเบี้ยและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านความเห็นของประธานเฟดที่จะกลาวในการประชุมประจำปีของเฟดที่ Jackson Hole วันศุกร์ที่ 23 ส.ค.นี้
สัดส่วนบริษัทที่กำไรเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2/67 บ่งชี้ว่าวัฏจักรของกำไรขาลงกำลังสิ้นสุด สรุปผลประกอบการไตรมาส 2/67 จนถึง 16 ส.ค. บริษัทจดทะเบียนจำนวน 831 แห่ง (98.9%) นำส่งงบไตรมาส 2/67 มีกำไรรวม 254,625 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% QoQ, 18.7% YoY โดยมีบริษัทจดทะเบียนที่กำไรเพิ่มขึ้น 315 แห่ง (37.9%), กำไรลดลง 308 แห่ง (37.1%) เป็นไตรมาสแรก (ในรอบ 8 ไตรมาส) ที่สัดส่วนบริษัทที่รายงานกำไรเพิ่มขึ้น YoY เริ่มกลับมามีสัดส่วนมากกว่าที่รายงานกำไรลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณบวกว่ากำไรของบจ.ไทย อาจเริ่มสิ้นสุดวัฏจักรของการปรับประมาณการกำไรลง (downgraded cycle) และอาจเข้าสู่การปรับประมาณการกำไรขาขึ้น (upgraded cycle) ในระยะถัดไป
หุ้นไทยเกิดการหมุนกลุ่มระหว่างรอการแถลงนโยบายรัฐบาลใหม่ กระแสข่าวการยกเลิกโครงการดิจิทัลวอลเล็ต และแทนที่ด้วยการนำเงินไปใช้ในโครงการดูแลเฉพาะกลุ่มรากหญ้า เปราะบาง ทำให้มีแรงขายทำกำไรในกลุ่มค้าปลีก และมีแรงซื้อเก็งกำไรในกลุ่มการเงิน อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการ ซึ่งความชัดเจนจะเกิดขึ้นหลังการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาของรัฐบาลใหม่ หลังมีการโปรดเกล้าคณะรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งกระบวนการดังกล่าวคาดจะเกิดขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า
ภาพรวมกลยุทธ์ ฟื้นตัวและยังมีบรรยากาศเก็งกำไรรายตัวเชิงบวก แต่ยังมองช่วง 1-2 เดือนนี้ ยังมีโอกาสผันผวน และเงินมีโอกาสเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย คาดกลุ่มคล้ายพันธบัตร และได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาลง อาทิ ไฟฟ้า รีทส์ แกร่งกว่าตลาด และใช้จังหวะผันผวนสะสมหุ้นที่โมเมนตัมกำไรยังเป็นขาขึ้น อาทิ สื่อสาร, อาหาร และค้าปลีก
แนวรับ: 1,292 / แนวต้าน : 1,310-1,316 จุด
สัดส่วนลงทุน: เงินสด 40% vs พอร์ตหุ้น 60%
หุ้นแนะนำ (* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ นักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาเข้าซื้อ)
• CPN* (57) : ผลประกอบการไตรมาส 2/67 แข็งแกร่ง ตามการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติ และการเปิดโครงการใหม่ ตัดขาดทุน 52 บาท
• KBANK* (141) : มาตรการดูแลลูกหนี้ และช่วยเหลือธุรกิจขนาดเล็กและกลุ่มเปราะบาง คาดเป็นบวกต่อลูกค้ากลุ่ม SME ตัดขาดทุน 129 บาท
• EGCO* (116) : ราคาหุ้นตอบรับผลประกอบการที่อ่อนแอจากการตั้งสำรองโครงการผลิตไฟฟ้าที่ต่างประเทศไปแล้ว ขณะที่ปัจจุบัน ซื้อขายด้วย PER 8x, PBV 0.46x และให้ปันผล 6.72% ตัดขาดทุน 93 บาท
• BBGI* (8) : ผลประกอบการไตรมาส 2/687 คาดเป็นจุดต่ำสุดของปี คาดผลประกอบการทยอยฟื้นตัวขึ้น และจะเร่งตัวขึ้นมากหลังน้ำมันอากาศยานยั่งยืนผลิตและจำหน่ายในช่วงปลายปี-ต้นปี ตัดขาดทุน 5.60 บาท
ประเด็นที่น่าสนใจ
- นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ได้รับโปรดเกล้าฯ เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 31
- อสังหาฯ สต็อกคงค้างแตะ 7 แสนล้านบาท เพิ่ม 3.02% ระบายออกใช้เวลา 28 เดือน
- แพทองธาร ประกาศสานต่อนโยบายเศรษฐกิจ-ซอฟต์พาวเวอร์
- เฟดเผยแบบจำลอง GDPNow บ่งชี้ GDP สหรัฐ +2.4% ใน Q3/67
- AOT กำไร 1.49 หมื่นล้านบาท พุ่ง 178% กวาดรายได้ 9 เดือนแรก แตะ 5 หมื่นล้านบาท
- EA เตรียมเรียกประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 12 รุ่น 27 ส.ค.นี้ ขอผ่อนผันยืดหนี้ตั๋วแลกเงิน 2 รุ่น และขยายเวลาไถ่ถอนหุ้นกู้ 2 รุ่น
- NEO กางแผนเพิ่ม Target Segment ครอบคลุมทุกช่วงวัย ขยายส่งออกตลาดตปท.อีก 7 ประเทศ
- COM7 แนะนำ “ถือ” เป้า 21.7บาท/ KTC แนะนำ “ซื้อ” เป้า 48บาท/ PTT แนะนำ “ซื้อ” เป้า 37บาท/ SAWAD แนะนำ “ถือ” เป้า 32บาท
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
19 ส.ค. – ติดตามการรายงาน GDP ไตรมาส 2/67 ของไทย