กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ แกว่งแคบไปก่อน... ติดตามปัจจัยทั้งภายนอกและในประเทศ

กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ : บล.เคจีไอฯ แกว่งแคบไปก่อน... ติดตามปัจจัยทั้งภายนอกและในประเทศ

ตลาดน่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบ ในสัปดาห์ที่แล้ว (11-15 พฤศจิกายน) ตลาดหุ้นไทยยังคงขยับลงแบบ sideways down ตามมุมมองรายสัปดาห์ของเรา เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงรอดูสถานการณ์จากปัจจัยดังต่อไปนี้

ปัจจัยแรก คือยังไม่มีความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจ และ สังคมของว่าที่ประธานาธิบดี Donald
Trump และ นักลงทุนยังคงคาดว่าน่าจะเกิด trade war 2.0 ซึ่งจะทำให้แนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐ และ การ
ลดดอกเบี้ยของ Fed มีความซับซ้อนมากขึ้น

ปัจจัยที่สอง ค่าเงินดอลลาร์ฯ สหรัฐพุ่งสูงขึ้นอีกจากความกังวลเกี่ยวกับจังหวะการลดดอกเบี้ยของ Fed
ดังที่กล่าวถึงข้างต้น และ จากความเห็นล่าสุดจากนาย Powell ประธาน Fed ว่า Fed จะไม่รีบลดดอกเบี้ย

สำหรับในสัปดาห์นี้ (18-22 พฤศจิกายน) เราคาดว่าดัชนี SET จะเคลื่อนไหวในกรอบแคบจากประเด็น
การลงทุนดังต่อไปนี้

ประเด็นแรก ในสัปดาห์นี้ นโยบายของสหรัฐจะยังคงไม่แน่นอน โดยไม่มีกำหนดรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่สำคัญออกมา ดังนั้น ภาวะดอลลาร์แข็งจึงน่าจะดำเนินต่อไป ซึ่งจะส่งผลให้กระแสเงินทุนไหลเข้าตลาดหุ้น EM และ ตลาดไทยยังคงอ่อนแอ

ประเด็นที่สอง ในขณะที่ภาวะตลาดโดยรวมยังอยู่ในโหมด risk-off แต่เรามองว่าราคาหุ้นมี downside
จำกัด เพราะถึงแม้เราจะใช้สมมติฐาน market EPS ที่ลดลง หลังการปรับลดประมาณการกำไรในช่วงหลายสัปดาห์นี้แล้ว แต่จากการคำนวณ earnings yield gap ของเรายังแสดงว่าดัชนี SET น่าจะทรงตัวอยู่ในช่วง 1,410-1,420 จุด

 

 

 

ติดตามกระแสข่าวนโยบายของ Trump,อัตราดอกเบี้ย LPR ของจีน และ รายงาน GDP ของไทย และ
รายละเอียดของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ปัจจัยต่างประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) กระแสข่าวเกี่ยวกับนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐของรัฐบาล Trump ii) ปาฐกถาของผู้บริหาร Fed สองสามรายในสัปดาห์นี้ และ iii) การตัดสินอัตราดอกเบี้ย Loan Prime Rate (LPR) ของ PBoC ในวันที่ 20 พฤศจิกายน

ปัจจัยในประเทศ: นักลงทุนควรติดตาม i) รายงาน GDP 3Q67 ของไทยในวันที่ 18 พฤศจิกายน ซึ่งนัก
เศรษฐศาสตร์ของเราคาดว่าอัตราการขยายตัวของ GDP 3Q67 จะอยู่ที่ 2.7% YoY ในขณะที่ Bloomberg
consensus คาดไว้ที่ 2.4% YoY ii) การประชุมคณะกรรมการกระตุ้นเศรษฐกิจในวันที่ 19 พฤศจิกายนซึ่งน่าจะมีรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปลายปีนี้ และ ต้นปีหน้าออกมาและ iii) การพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ 20 พฤศจิกายนว่าจะรับพิจารณาคดีของอดีตนายกทักษิณ และ พรรคเพื่อไทยหรือไม่

เกาะกับธีมการลงทุนหลักอย่างเช่น ผู้บริโภค, นิคมอุตสาหกรรม และ หุ้นบางตัวในกลุ่มท่องเที่ยว และ non-bank

เนื่องจากเรามองว่าในระยะสั้น ตลาดหุ้นไทยน่าจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบจากการที่นักลงทุนติดตามนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐ และ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไทย เราจึงแนะนำให้นักลงทุนยังคงเน้นลงทุนแบบ defensive และ selective ต่อไป โดยนักลงทุนควรเตรียมพร้อมเข้าซื้อสะสมหุ้นในธีมการลงทุนหลักของเรา อย่างเช่น กลุ่มที่จะได้อานิสงส์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะออกมาใหม่ (CPALL*, CPAXT, CPN*), กลุ่มนิคมอุตสาหกรรมที่จะได้อานิสงส์จากการย้าย FDI (AMATA*), กลุ่มท่องเที่ยวบางตัวจากการเข้าสู่ช่วง high season (AAV*) และ กลุ่ม non-bank ที่จะได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐในการลดหนี้ครัวเรือน (TIDLOR*)