กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ เลือกสรรหุ้นเพื่อถือข้ามปี เข้าสู่ปี 2568
2567 เป็นปีที่ดีสำหรับกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และ ICT แต่เป็นปีที่แย่ของกลุ่มปิโตรเคมี, รับเหมาก่อสร้างและบรรจุภัณฑ์
เรากำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของปี 2567 ซึ่งเป็นปีที่ตลาดผันผวนอย่างหนัก เมื่อมองกลับไปดูราคาหุ้นกลุ่มต่างๆ ในตลาดหุ้นไทย เราพบว่ามีเพียงสองกลุ่มเท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนน่าประทับใจ คือ อิเล็กทรอนิกส์ (+78% YTD) และ ICT (+35% YTD) โดยหุ้นกลุ่ม ICT ขึ้นเพราะราคาหุ้นหลักหลายตัวในกลุ่มวิ่งขึ้นมาแรง ในขณะที่กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ขึ้นมาเพราะ DELTA* (+88% YTD) เป็นหลัก แต่ในทางกลับกัน ราคาหุ้นกลุ่มที่แย่ในปีนี้ได้แก่ ปิโตรเคมี, รับเหมาก่อสร้าง และ บรรจุภัณฑ์
เลือกสรรหุ้นไทยสำหรับถือข้ามปีใหม่ 2568 เน้นตัวที่รับปัจจัยลบในช่วงก่อนหน้านี้ไปแล้ว
ในบทวิเคราะห์ฉบับนี้ เราหาหุ้นที่นักลงทุนควรถือจากช่วงปลายปี 2567 ข้ามปีใหม่ 2568 โดยใช้เกณฑ์ดังต่อไปนี้ i) หุ้นที่ราคาตอบรับปัจจัยลบในช่วงหลายเดือนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว ii) หุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานมีแนวโน้มสดใสมากขึ้นใน 4Q67 และ 1Q68 และ iii) หุ้นที่ได้แรงหนุนจากแนวโน้มอุตสาหกรรม และปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัท
เราเลือก SAWAD*, PTTGC*, ERW*, CPN* และ PLANB* เป็นหุ้นสำหรับถือข้ามปีเข้าสู่ 2568
SAWAD*: นโยบายภาครัฐในการจัดการหนี้ครัวเรือน และ การอัดฉีดเงินกู้ soft loan 1 แสนล้านบาท โดยอนุญาตให้ non-bank ปล่อยกู้ให้กับลูกหนี้ที่ประสบปัญหาจะช่วยคลายแรงกดดันทางด้านคุณภาพสินทรัพย์ของ non-bank ซึ่งจะช่วยเลื่อนเวลาที่ลูกหนี้มีปัญหาจะกลายเป็น NPL และ ลดแรงกดดันทางด้าน credit cost ของ non-bank
PTTGC*: ผู้บริหารคาดว่าจะได้รับผลกระทบสุทธิจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจาก การปรับสัญญาขายอีเทนเพียง 200 ล้านบาทในปี 2567F ต่ำกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้อย่างมีนัยสำคัญ เพราะปริมาณอีเทนที่เพิ่มขึ้นช่วยชดเชยต้นทุนอีเทนที่สูงขึ้น และ ต้นทุนอีเทนเพิ่มขึ้นน้อยกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ เรายังคาดว่าผล
ประกอบการจะฟื้นตัว YoY ในปี 2568F เพราะ i) ไม่ต้องรับรู้ผลขาดทุนก้อนใหญ่จาก Vencorex และ PTT Asahi Chemical เหมือนในปี 2567F อีก ii) คาดว่าค่าการกลั่นจะดีขึ้น YoY ในปี 2568F เพราะ อุปสงค์จะโตมากกว่าอุปทานที่เพิ่มขึ้นสุทธิ และ iii) ปริมาณอีเทนที่ใช้เป็น feedstock เพิ่มขึ้น
ERW*: เรามองบวกกับแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยวในอีกสองสามปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยหนุนให้กำไรโต YoY ในปี 2568F ส่วนประเด็นการต่อสัญญาโรงแรม Grand Hyatt Erawan อยู่ระหว่างการขอต่อสัญญาเช่าเพิ่มใหม่อีก 20 ปี (หลังปี 2564) โดยคาดว่าจะต้องใช้เวลากว่าจะได้ข้อสรุปเพราะต้องดำเนินการตามกระบวนการ PPP (เจ้าของที่อยู่ภายใต้กระทรวงการคลัง)
CPN*: CPN เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ในธุรกิจค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย และ เป็นผู้เล่นเพียงรายเดียวที่สามารถนำเสนอระบบนิเวศแบบ “ศูนย์กลางชีวิต” หรือ “center of life” ได้ โดยบริษัทมีพอร์ตธุรกิจที่กระจายตัวผ่านการดำเนินกลยุทธ์ mixed-use โดยมีธุรกิจค้าปลีกเป็นตัวนำ เพื่อให้เกิด synergy ระหว่างธุรกิจค้าปลีก/ไม่ใช่ค้าปลีก นอกจากนี้ บริษัทยังมีฐานะทางการเงินแข็งแกร่ง โดยสัดส่วนหนี้สินสุทธิ/ทุนอยู่ที่ 0.6x ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแผนลงทุน 5 ปีมูลค่า 1.21 แสนล้านบาทของบริษัท ทั้งนี้ CPN เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์เพียงรายเดียวที่เป็น no. 1 ใน DJSI World หมวดบริหารจัดการ และ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์
PLANB*: สภาวะการบริโภคที่ดีขึ้น ส่งผลให้ผู้ซื้อโฆษณาเชื่อมั่นมากขึ้น และ จัดงบโฆษณาสื่อ OOH เพิ่มขึ้น จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนราคาหุ้น PLANB นอกจากนี้ เราเชื่อว่า PLANB อยู่ในช่วงท้ายของการขยายกิจการแล้ว ดังนั้น หากมี S-curve ใหม่ในสื่อ OOH หรือ ธุรกิจ engagement marketing จะส่งผลบวกต่อราคาหุ้น