กลยุทธ์การลงทุน : บล.เคจีไอฯ หุ้นแนะนำ ธ.ค. 2567 – เก็งกำไรหุ้นเชื่อมโยงมาตรการภาครัฐฯ
พอร์ตหุ้นแนะนำเดือนพฤศจิกายนลดลง 6.9% และอ่อนแอกว่า SET ในเดือนพฤศจิกายน ตลาดหุ้นไทยย่อตัวลงเล็กน้อย เพราะเผชิญแรงกดดันจากปัจจัยภายนอก
อย่างเช่น ความไม่แน่นอนของมาตรการเศรษฐกิจสหรัฐ หลังจากที่นาย Donald Trump ชนะการเลือกตั้ง
ประธานาธิบดีสหรัฐ และ พรรค Republican คุมเสียงส่วนใหญ่ในสภา congress ได้ ดังนั้น นักลงทุนจึงเป็นกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีบางปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนดัชนี SET ได้แก่ i) หุ้นขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด ได้แก่ DELTA* ที่วิ่งขึ้นแรง แม้ผันผวนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนหลังเข้าสู่ cash balance ระดับที่ 1 และ ii) GDP ไทยขยายตัว 3.0% YoY ใน 3Q67 ซึ่งโตเกินกว่าที่ตลาดคาดเอาไว้ และ ความคาดหวังว่าจะมีการทยอยประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ในขณะเดียวกัน ความตึงเครียดทางการเมืองก็คลายตัวลงหลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องเกี่ยวกับอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย
มุมมองตลาดหุ้นไทยเดือนธันวาคม: ความไม่แน่นอนของปัจจัยต่างประเทศ ยังคงจำกัดทางขึ้นไว้
เราคาดว่าดัชนี SET จะผันผวนต่อเนื่องในเดือนธันวาคม ถึงแม้ว่าราคาหุ้นในตลาดจะย่อลงมาบ้างแล้ว ซึ่งทำให้ forward PE ปี 2568 (ที่ไม่นำ หุ้น DELTA* มาคำนวณ) ลดลงมาอยู่ระดับต่ำ กว่า 14.0x แต่ยังมีปัจจัยที่กดดันตลาดอยู่ ได้แก่ i) ความเสี่ยงที่จะเกิดสงครามการค้ารอบใหม่ หลังจากที่ Trump ประกาศจะเก็บภาษีสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้น และ ขึ้นภาษีสินค้าจากแคนาดา และเม็กซิโก ii) สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซียคาดเดาได้ยากในช่วง 1-2 เดือนจากนี้ และ iii) เรามองว่าภาวะของหุ้นกลุ่มหลัก อย่างเช่นพลังงานและธนาคารนั้นขาดปัจจัยบวกเข้ากระตุ้น อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยสนับสนุนอยู่บ้างจากฝั่งในประเทศ จากการที่เสถียรภาพของรัฐบาลดีขึ้น ในขณะที่นายกฯ แพทองธารมีแผนประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นของขวัญปี ใหม่ 2568 ในวันที่ 12 ธ.ค. นอกจากนี้ เรายังคาดว่ารัฐบาลจะประกาศมาตรการ Easy e-Receipt เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายบริโภคของชนชั้นกลางด้วย
หุ้นแนะนำเดือนธันวาคม: AMATA*, CPAXT, CRC*, SAWAD* และ SYNEX
AMATA*: ผู้บริหารยังคงมองบวกกับแนวโน้มการย้ายฐานการลงทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศที่พูดภาษาจีน จากการที่สงครามการค้าอาจประทุขึ้นมาอีกครั้ง เราประเมินว่ายอดขายที่ดินในปี 2567F-68F จะอยู่ที่ปี ละ 2,500 ไร่ (สอดคล้องกับเป้าของ AMATA) เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากค่าเฉลี่ย 3 ปี ย้อนหลังที่ 1,153 ไร่ (2564-66) ทั้งนี้ บริษัทคาดว่ากำไรจะโตดีที่ 23% ในปี 2567F และ 14% ในปี 2568
CPAXT: same-store-sales growth (SSSG) อยู่ในเกณฑ์ดี QTD โดยอยู่ที่ระดับเลขตัวเดียวต่ำๆ ทั้งใน
ส่วนของธุรกิจค้าส่ง (Makro) และ ค้าปลีก (Lotus’s ประเทศไทย และ มาเลเซีย) ทั้งนี้ เนื่องจากตามปกติ
แล้วไตรมาสที่สี่จะเป็นช่วง peak ตามฤดูกาลของ CPAXT (เป็นฤดูท่องเที่ยว และ วันหยุด) เราจึงคาดว่า
SSSG ใน 4Q67F จะเป็นบวกทั้งในส่วนของธุรกิจค้าส่ง และ ค้าปลีก
CRC*: เนื่องจากไตรมาสที่สี่มักจะเป็นช่วง high season ของบริษัท และ การปรับปรุงห้างสรรพสินค้าในอิตาลี และ ไทยเสร็จเรียบร้อยแล้ว SSSG ของ CRC จึงน่าจะออกมาดีในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทยังมีหนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย 9.34 หมื่นล้านบาท ซึ่งประมาณ 85% คิดดอกเบี้ยลอยตัวในขณะที่อีก 15% คิดดอกเบี้ยคงที่ โดยบริษัทคาดว่าจะรักษาสัดส่วนนี้เอาไว้ และ จะได้อานิสงส์จากแนวโน้มการลดดอกเบี้ยในระยะต่อไป
SAWAD*: ถึงแม้เราจะคาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะฟื้นตัวขึ้น แต่เราคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลง และ ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567F/2568F ลง 4%/2% เพื่อสะท้อนถึงอัตราการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอลง เรามองว่าราคาหุ้นน่าสนใจ และ บริษัทน่าจะได้อานิสงส์จากมาตรการบรรเทาภาระหนี้ครัวเรือนที่กำลังจะออกมา
SYNEX: เราคาดว่ากำไรปกติใน 4Q67F จะฟื้นตัวขึ้นทั้ง YoY และ QoQ จากยอดขายที่แข็งแกร่ง ซึ่งจะมีน้ำหนักมากกว่าอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง โดยเราคาดว่ายอดขายจะเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQจาก i) การรับรู้ยอดขายเต็มไตรมาสจากการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ (จากที่รับรู้เพียง 7 วันใน 3Q67) และ ii) มีการออกสินค้าแบรนด์ exclusive อย่างเช่น Honor และ Huawei อย่างต่อเนื่อง