ถอดรหัส ‘บิทคับ’ สู่ Bitcoin Halving ดันราคาพุ่ง
"ท๊อป จิรายุส” ถอดรหัส “บิตคอยน์ ฮาล์ฟวิ่ง” กลไกที่ทำให้ราคาบิตคอยน์พุ่ง เพราะความ "เซ็กซี่" ของบิตคอยน์ทำให้คนเข้ามาในตลาดมากขึ้น ดังนั้นหลังจากนี้ราคาอาจไม่ได้พุ่งแรงเหมือนครั้งก่อน
"จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา” ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด กล่าวว่า “บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป และกลุ่มบริษัทในเครือมุ่งเตรียมความพร้อมในส่วนต่างๆ เพื่อต้อนรับอีกปรากฏการณ์ที่สำคัญในโลก “คริปโทเคอร์เรนซี” (Cryptocurrency) อย่าง Bitcoin Halving ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 20 เม.ย.2567 นี้
“บิตคอยน์ฮาล์ฟวิ่ง” คือ การที่รางวัลจากการขุดบิตคอยน์จะลดลงทุกๆ 4 ปี โดยจะลดลง “ครึ่งหนึ่ง” ทุกๆ 210,000 บล็อก แต่ละบล็อกจะถูกสร้างขึ้นทุก 10 นาที ซึ่งก่อนหน้านี้ ได้เกิดปราฏการณ์ Bitcoin Halving มาแล้ว 3 ครั้ง
- ครั้งที่ 1 ปี 2555 โดยก่อนการ Halving บิตคอยน์มีมูลค่าอยู่ที่เกือบ 2 ดอลลาร์ ซึ่งหลังจากการ Halving ครั้งแรกเหลือ 25 BTC ต่อบล็อกราคาของบิตคอยน์เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 270.94 ดอลลาร์ หมายความว่าราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 13,480% หลังจากนั้นราคาก็ค่อยๆ ลดลงถึง 70% จนถึงมูลค่าที่ควรจะเป็น
- ครั้งที่ 2 ปี 2559 ก่อนการ Halving บิตคอยน์มีมูลค่าอยู่ที่ 664.44 ดอลลาร์ หลังจากการ Halving ครั้งที่สองเหลือ 12.5 BTC ต่อบล็อก ในช่วงแรกราคาไม่หวือหวามากนัก แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปเกือบ 3 ปีก่อน บิตคอยน์กลับทำราคา “ทุบสถิติ” สูงถึง 20,000 ดอลลาร์
- ครั้งที่ 3 วันที่ 11 พฤษภาคม ปี 2563 ลดลงจาก 12.5 เป็น 6.25 เหรียญ โดยเมื่อผ่านไป 6 เดือน ราคาบิตคอยน์ขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดใหม่ที่ 68,000 ดอลลาร์
และครั้งที่ 4 คาดว่าปรากฏการณ์ Bitcoin Halving ครั้งต่อไปคาดว่าจะเกิดขึ้นใน วันที่ 20 เมษายน ปี 2567
โดยรางวัลจะลดลงจาก 6.25 เป็น 3.125 เหรียญ โดยปรากฏการณ์นี้ จะเป็นตัวกระตุ้นให้ราคา Bitcoin พุ่งสูงขึ้นอย่ามีนัยสำคัญ สังเกตได้ว่าตลาดเริ่มตื่นตัวแล้ว จากราคา Bitcoin ที่เริ่มปรับตัวสูงขึ้นในช่วงนี้ ประกอบกับช่วงปีหน้ากำลังจะเข้าสู่ดอกเบี้ยขาลงด้วย
โดยปกติแล้ว หลังจากเกิดฮาล์ฟวิ่งจะใช้เวลาประมาณ 6 เดือนจนกว่าราคาบิตคอยน์จะปรับตัวเข้าสู่ขาขึ้นจนราคาบิตคอยน์ทำนิวไฮอีกครั้ง หลังจากนั้นตลาดจะกลับตัวเข้าสู่ขาลงพร้อมกับเกิดเหตุการณ์ “คริปโทวินเทอร์” ซึ่งมักเกิดขึ้นถ้าหากตลาดมีการคาดเดาราคา หรือเก็งกำไรมากขึ้นไป แต่ถ้าไม่ตลาดคริปโทเคอร์เรนซีอาจเกิด “คริปโทซัมเมอร์” ก็เป็นได้
นอกจากนี้ ตามสถิติในแต่ละรอบที่ผ่านมายังไม่เคยมีรอบไหนที่บิตคอยน์ทำ New High ก่อน Halving แบบรอบนี้ นักลงทุนจึงควรระมัดระวัง และคอยจับตาอย่างใกล้ชิด แต่อย่างน้อย Bitcoin Spot ETF ก็ยังทำให้รู้สึกปลอดภัยได้ว่ายังมีเงินสถาบันที่จะไหลเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในรอบนี้เพิ่มอีกด้วย โดยเมื่อดูตามสถิติต่างๆ และตัวเลขแล้วเชื่อว่าวงการคริปโทเคอร์เรนซียังมีโอกาสเติบโตได้อีก
เหมืองขุดบิตคอยน์ ‘กำไร’ พุ่ง
เมื่อราคาบิตคอยน์ปรับตัวเพิ่มขึ้น อีกธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากการเกิดฮาล์ฟวิ่ง คือ “เหมืองขุดบิตคอยน์” (Bitcoin Mining) หลังจากที่ราคาบิตคอยน์เพิ่มขึ้นไปอีกเท่าตัว ทำให้เหมือนขุดบิตคอยน์มีกำไรมากขึ้น ที่ผ่านมาเมื่อมีคนขุดมากขึ้น ทำให้การแก้สัมการทางคณิตศาสตร์ที่ใช้ขุดบิตคอยน์ยากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลไกลที่ทำให้ราคาบิตคอยน์ปรับตัวขึ้นด้วยเช่นกัน
ทว่านักขุดบิตคอยน์จะต้องเจอปัญหาในการขุดที่ยากขึ้น อาจมีเพียงฟาร์มขุดบิตคอยน์แบบเต็มรูปแบบเท่านั้นที่สามารถทำกำไรได้ในสถานการณ์ที่อัตราค่าไฟฟ้า และต้นทุนการขุดแพงขึ้น เนื่องจากการขุดบิตคอยน์จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ชั้นสูง และพลังงานในกระบวนการดำเนินงานจะใช้คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลแบบเดิมคงไม่ได้แล้ว
โดยตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ถ้าราคาบิตคอยน์ไม่ผันผวนขึ้นลง ราคาหยุดนิ่งอยู่กับที่ไม่น่าตื่นเต้น และไม่มีการเก็งกำไร จะกลายเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่มีความ “เซ็กซี่” ยิ่งไปกว่านั้นจะไม่มีวอลุ่ม และไม่สามารถเป็นพื้นฐานที่แข็งแรงของสินทรัพย์ดิจิทัลได้
ในอีกมุมเป็นเพราะว่าราคาที่ผันผวน เป็นการดึงความสนใจจากนักลงทุนให้เข้ามาในอุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลจะเกิดวอลุ่มการซื้อขาย การเคลื่อนไหวที่สามารถต่อยอดเป็นแอปพลิเคชันได้
‘บิตคอยน์’ ยังครองสินทรัพย์เบอร์ 1
รวมทั้งหลังจากนี้ราคาบิตคอยน์จะไม่ปรับขึ้น 10,000% หรือลดลง 5 เท่า รุนแรงเหมือนในอดีตที่ผ่านมา เพราะตอนนี้มียูสเซอร์เบส หรือผู้ใช้งานมากขึ้น เหมือนกับทุกๆ สินทรัพย์ที่เมื่อไหร่ ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้นจะทำให้ความผันผวนน้อยลง
“บิตคอยน์ เหมือนกับทุกตลาดการลงทุน ให้ทุกคนจินตนาการว่าตอนนี้บิตคอยน์มีขนาดเท่ากับสระว่ายน้ำขนาดเล็ก ที่มีคนใช้ไม่กี่คน และคนอ้วนเป็นเหตุการณ์ร้ายแรงที่เกิดขึ้นกระโดดลงไปในสระน้ำ จะส่งผลกระทบต่อทุกคน แต่ถ้ามีคนใช้บิตคอยน์มากขึ้นจนบิตคอยน์มีขนาดใหญ่เป็นแม่น้ำ เมื่อคนอ้วนกระโดดลงไปก็ไม่กระทบต่อตลาดเท่ากับในอดีตแล้ว”
3 ศาสตร์มารวมเป็น "บิตคอยน์"
“จิรายุส” มองว่า “ซาโตชิ นากาโมโตะ” ผู้ที่สร้างบิตคอยน์ เขียนไวท์เปเปอร์ที่โครงสร้างบิตคอยน์ออกมาได้อย่างแยบยลจะต้องมีความรู้อย่างลึกซึ้งใน 3 ด้าน คือ เศรษฐศาสตร์คณิตศาสตร์วิทยาการคอมพิวเตอร์ ที่สามารถสร้างบิตคอยน์ด้วยโปรแกรมทางคอมพิวเตอร์ที่ไม่มีช่องโหว่ และไม่สามารถแฮกได้
ดังนั้น หลายคนที่มองว่า บิตคอยน์ คือ “สแกม” (Scam) หรือการหลอกลวง แปลว่ายังไม่เคยอ่านไวท์เปเปอร์ของบิตคอยน์ที่เขียนไว้อย่างละเอียด และความแข็งแรงของโปรโตคอล ความโปร่งใสของการทำงานแบบกระจายศูนย์ผ่าน “บล็อกเชน” ทำให้บิตคอยน์ยังครองตำแหน่งสินทรัพย์ดิจิทัลเบอร์หนึ่งตลอดกาล
เงินในอนาคตจะกลายเป็น ‘เงินดิจิทัล’
เงินในอนาคตจะกลายเป็นเงินดิจิทัล หากในอนาคตเทคโนโลยีถูกพัฒนาไปอย่างก้าวหน้าแต่โลกยังใช้เงินที่เป็นกระดาษ “ก็เหมือนกับซอฟต์แวร์ที่อัปเดตไปไกลถึงรุ่นไอโฟน 15 แต่ฮาร์ดแวร์ยังเป็นไอโฟนหนึ่ง” ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงไปตามดิจิทัลอีโคโนมี
รวมทั้งในมุมของความยั่งยืน เมื่อทั่วโลกกำลังก้าวสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เงินกระดาษทำให้โลกต้องตัดต้นไม้ พร้อมกับการที่มนุษย์โลกต้องใช้เงินในการแลกเปลี่ยนมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ทางออกคือ “ซัพพลายเชนโลกการเงินจึงต้องเปลี่ยนเป็นดิจิทัล” ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆ กับรูปแบบการค้าโลกที่กำลังเข้าสู่ “ดิจิทัลซัพพลายเชน” ในยุคเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่ง “บิตคอยน์อาจทำหน้าที่เหมือนทองคำที่ใช้หนุนหลังทุกๆ สินทรัพย์ในตอนนี้”
ท้ายสุด “จิรายุส” ฝากคำแนะนำให้นักลงทุนหน้าใหม่ และผู้ที่สนใจลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลว่า
“ขอให้ศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนให้ดี เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง แต่ละคนมีความพร้อม เงินทุน และระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ไม่เหมือนกัน นึกถึงคำที่ ‘วอร์เรน บัฟเฟตต์’ เคยบอกว่า คุณไม่จำเป็นต้องสวิงไม้เบสบอลทุกครั้งที่เขาขว้างลูกมา แต่ให้ดูความพร้อมของตัวเอง และรอจังหวะที่คุณพร้อม ดังนั้นทุกคนควรทำความเข้าใจในสิ่งที่ตัวเองจะลงทุนให้ดีทุกครั้ง”
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์