หุ้นกู้ป่วน‘โรลโอเวอร์’ยาก ตลาดจับตา ‘ไฮยิลด์ บอนด์’ ครบกำหนด 2.38 หมื่นล.
หุ้นกู้ไฮยิลด์' ครบกำหนด 4 เดือนสุดท้ายปีนี้ 2.38 หมื่นล้าน จ่อ 'โรลโอเวอร์' ยาก เหตุนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นลงทุน หลังมีข่าวบริษัทขาดสภาพคล่องต่อเนื่อง ล่าสุด 'เจเคเอ็น' ขอแบ่งจ่ายก่อน 156.60 ล้านบาท ที่เหลือขอเลื่อน ด้านนักลงทุนสถาบัน เข้มเลือกลงทุน เรทติ้งสูง
ต้องยอมรับว่า ตลาดหุ้นกู้ของไทยในปีนี้ มีประเด็นที่สร้างความกังวลใจให้กับนักลงทุนเป็นระยะ จากปัญหาสภาพคล่องจนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้ เริ่มตั้งแต่หุ้นกู้ของบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ STARK, บริษัท ช ทวี จำกัด (มหาชน)หรือ CHO, บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL, บริษัท คันทรี่ กรุ๊ป ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)หรือ CGD
ล่าสุด บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป จำกัด (มหาชน)หรือ JKN แจ้งว่าหุ้นกู้รุ่น JKN239A ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน วันที่ 1ก.ย. 2566 มูลค่ารวม 609.98 ล้านบาทนั้น บริษัทไม่สามารถ ชําระเงินต้นและดอกเบี้ยให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ในวันครบกําหนดได้โดยบริษัทจะชําระเงินต้นบางส่วนจำนวน 156.6 ล้านบาท ในวันที่ 1 ก.ย.โดยคงเหลือยอดค้างชําระ 443.4 ล้านบาท
นางสาวศิรินารถ อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยและวิเทศสัมพันธ์ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย (ThaiBMA) เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ (ก.ย.-ธ.ค.2566) มีหุ้นกู้ Non-Rated หรือ หุ้นกู้ไฮยิลด์ จะครบกำหนด 23,825 ล้านบาท จากหุ้นกู้ทั้งหมดที่ครบมูลค่า 217,095 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นที่รู้จัก คาดว่าจะไม่กระทบกับการออกหุ้นกู้โรลโอเวอร์ แต่จะมีบางส่วนเป็นบริษัทไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯคงต้องหาแหล่งเงินอื่นๆ เช่น เงินกู้สถาบันการเงิน หรือชะลอการออกเสนอขายหุ้นกู้ไปก่อน
ส่วนกรณี หุ้นกู้ JKN ที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ 1 รุ่นตามที่ JKN ได้แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพยฯ วานนี้ (31 ส.ค.) โดยทางสมาคมตราสารหนี้ไทย ได้ขึ้นเครื่องหมาย IC แจ้งให้นักลงทุนระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มหุ้นกู้ของJKN 7 รุ่น เพราะหากไม่สามารถชำระหนี้หุ้นกู้รุ่น JKN239A ที่ครบกำหนดในวันที่ 1 ก.ย. 2566ได้ ทางสมาคมตราสารหนี้ไทย จะขึ้นเครื่องหมายผิดนัดชำระหนี้ (DF) ในวันที่ 4 ก.ย. จำนวน 1 รุ่น และเกิดเหตุครอสดีฟอลต์อีก 6 รุ่นที่เหลือ คงต้องติดตามผลการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ JKN ในวันที่ 29 ก.ย.2566 ซึ่งหากผู้ถือหุ้นกู้ไม่ยกเว้นเหตุการผิดนัดชำระ รุ่น JKN 239A ก็จะเกิดครอสดีฟอลต์หุ้นกู้ที่เหลือทั้งหมดอีก 6 รุ่น
“มองรอบนี้ ก็มีผลกระทบต่อเซ็นทริเม้นท์การลงทุนบ้าง ซึ่งกรณีหุ้นกู้ JKN เป็นเหตุเฉพาะตัวของบริษัทดังกล่าว ที่รายได้เริ่มมีปัญหาในการดำเนินธุรกิจมาก่อนหน้านี้แล้ว และนักลงทุนส่วนใหญ่ยังติดตามข้อมูลอย่างต่อเนื่อง หลังปัญหาของSTARKก่อนหน้านี้ แนวโน้มเงินของนักลงทุนเริ่มไหลออกจากเงินฝากมาที่หุ้นกู้และกองทุน แต่อย่างไรก็ตามนักลงทุนก็ยังต้องใช้ความระมัดระวังในการลงทุนหุ้นกู้ไฮยิลด์”
แหล่งข่าวตลาดทุน กล่าวว่า สำหรับหุ้นกู้ไฮยิลด์ที่เปิดขายอยู่ในขณะนี้ หากเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดฯ มีชื่อเสียง มีเครดิตเรตติ้งตั้งแต่ระดับ BBB ขึ้นไป หากยังเป็นกลุ่มธุรกิจไฟแนนซ์ หรือ บริษัทลูกในเครือธุรกิจขนาดใหญ่ ยังสามารถเสนอขายได้อยู่
ทั้งนี้หากเป็นบริษัทไม่ได้จดทะเบียนในตลาดฯ ไม่มีกลุ่มนักลงทุนที่เหนียวแน่น และมีเครดิตเรตติ้งระดับต่ำกว่า BBB มีโอกาสที่จะขายไม่หมด และขายยากขึ้น เพราะการลงทุนหุ้นกู้ทุกวันนี้ ยังต้องใช้ความระมัดระวัง โดยเฉพาะหุ้นกู้ไฮยิลด์และผู้ขายเองจำเป็นต้องคัดเลือกหุ้นกู้ที่จะนำมาเสนอขายแก่นักลงทุนเพื่อป้องกันความเสี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกิจ หรือการผิดปกติของงบการเงิน
สำหรับในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปีนี้ (เดือนก.ย. -ธ.ค. 2566) จะมีหุ้นกู้ไฮยิลด์ครบกำหนดประมาณ 2 หมื่นกว่าล้านบาท คาดว่า หุ้นกู้กลุ่มนี้อาจได้รับผลกระทบไม่สามารถที่ออกเสนอขายหุ้นกู้ใหม่เพื่อทดแทนหุ้นกู้เดิม(โรโอเวอร์)ได้ เพราะความกังวลและความไม่มั่นใจลงทุน หลังจากมีข่าวบริษัทที่ออกเสนอขายหุ้นกู้ขาดสภาพคล่อง ทำให้ไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ยได้ครบตามจำนวนในวันที่ครบกำหนด ซึ่งล่าสุดJKN แจ้งขอแบ่งจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยหุ้นกู้รุ่น JKN239A ที่ครบกำหนดในวันที่ 1ก.ย.นี้
ส่วนผลกระทบจากหุ้นกู้ JKN ที่มีความเสี่ยงไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด 1 รุ่น JKN239A มูลค่ากว่า 600 ล้านบาท ในวันที่ 1 ก.ย.นี้ ยังต้องติดตามว่า ผู้ถือหุ้นกู้ดังกล่าวจะโหวต ยกเว้นให้ไม่เป็นเหตุผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ ในการประชุมผู้ถือหุ้นกู้ 29 ก.ย.นี้ ซึ่ง หากหุ้นกู้รุ่นนี้ ไม่ได้รับการยกเว้นเป็นเหตุผิดนัดชำระหนี้หุ้นกูจะทำให้เกิดเหตุครอสดีฟอลท์หุ้นกู้รุ่นอื่นๆ ตามมา แน่นอนว่าย่อมกระทบต่อเซนทริเม้นท์เชิงลบต่อการลงทุนในตลาดหุ้นกู้อีกระลอก นักลงทุนยังต้องระมัดระวังมากขึ้น
นายชัชชัย สฤษดิ์อภิรักษ์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุน บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า กลยุทธ์การลงทุนหุ้นกู้ของนักลงทุนสถาบันในขณะนี้ส่วนใหญ่คัดสรรการลงทุนหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งระดับ BBB ขึ้นไป หรือเป็นระดับ Investment Grade
รวมถึงวิเคราะห์ศักยภาพของธุรกิจ โดยจะต้องมีหนี้สินไม่สูงเกินไป และมีสภาพคล่อง คัดเลือกธุรกิจ และผู้บริหารที่รู้จักเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่เป็นที่รู้จักโดยทั่วไป นอกจากนี้ก็จะไม่พิจารณาลงทุนหากเป็นหุ้นกู้ของบริษัทที่ไม่มีเครดิตเรทติ้ง
รายงานข่าวจากทางบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซียพลัส ในฐานะตัวแทนผู้ถือหุ้นกู้ JKN239A และ JKN246A แจ้งว่า ช่วงเย็นวานนี้ (31 ต.ค.) ทางทีมได้มีการหารือกับทาง JKN โดยทาง JKN มาทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นเพื่อไปชี้แจงกับผู้ถือหุ้นกู้ เพื่อขอผ่อนผันการชำระหนี้หุ้นกู้ และ ไม่ให้เกิด call default ซึ่งจะให้รายละเอียดเพิ่มเติมต่อไป