กรุงไทย ชี้เป้า 3 เมกะเทรนด์โลก ฉุดความมั่นคงทางการเงินของคนไทย

บนเวที งานสัมมนา FIS AND FIN FORUM 2023 โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กระทรวงการคลัง ในหัวข้อเสวนา "ถอดรหัสแผนที่การเงินครัวเรือนไทย สร้าง FINACIAL WELL-BEING" 

ที่ได้มีการพูดถึงบทบาทหน้าที่ของหน่วยงานต่างๆ และการนำการศึกษาระดับทักษะทางการเงินเชิงพื้นที่ และการจัดทำดัชนีปัจจัยพื้นฐานทางการเงินเชิงพื้นที่ (Spatial Financial Fundamental Index: SFFI) ของสศค. ไปใช้ประโยชน์ 

เพื่อช่วยพัฒนาแนวทางในการกำหนดนโยบาย กลยุทธ์ และแผนงานของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ในการดำเนินงานด้านการพัฒนาทักษะทางการเงินได้อย่างเหมาะสม และตรงตามวัตถุประสงค์ และอาจรวมถึงนโยบายด้านการเงินอื่นๆ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประชาชนไทยมีระดับทักษะทางการเงินที่เพิ่มขึ้น นำไปสู่ Financial Well-being หรือผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจ และสังคมที่จะช่วยสร้างความมั่นคง และความเป็นอยู่ที่ดีให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง และยั่งยืนต่อไป

“ผยง ศรีวณิช” กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ขณะนี้มี 3 เมกะเทรนด์ของโลก ที่จะเข้ามากระทบ Financial Well-being ของคนไทย  ได้แก่ สังคมผู้สูงวัย (Aging Society), การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (Climate Change)และการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี (Digital distribution)

สำหรับสังคมสูงวัยของไทย เสี่ยง “แก่ก่อนรวย” สัดส่วน 42% ผู้สูงอายุมีรายได้เพียงพอเป็นบางครั้งหรือไม่เพียง , 1.5%  เป็นสัดส่วนแหล่งรายได้ของผู้สูงอายุที่มาจากดอกเบี้ยเงินออม , มีสัดส่วนถึง 46% ที่ผู้สูงอายุไม่มีการออมเงิน และสัดส่วน35% ยังเป็นผู้สูงอายุที่ยังคงต้องทำงาน ทั้งนี้ ทักษะการเงินของคนวัยเกษียณมีช่องว่างที่ต้องเร่งส่งเสริม

 

ทางด้านการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จะมีความอ่อนไหวต่อภาคการเกษตรของไทย ที่มีแรงงานภาคเกษตร 12.8 ล้านคน  คิดเป็นสัดส่วน 32%ของผู้มีงานทำทั้งหมด และสัดส่วนคนจนอยู่ในภาคเกษตรถึง12% ในขณะที่ทุกภาคมีสัดส่วนคนจนเพียง 4.8% รวมถึงผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ จะแตกต่างกันในแต่ละพื้นที่ โดย Climate Shocks ทำให้การเติบโตของรายได้ต่อหัวเฉลี่ยในจังหวัดต่างๆ ลดลง ราว 2.28% และจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวต่ำ รายได้จะลดลงมากกว่าจังหวัดอื่นๆ ราว 0.74% 

 

ในส่วนการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี  โดยเฉพาะการเข้ามาของ AI จะกระทบการทำงานโดยคนราว 40% และจะส่งผลกระทบต่อชุมชนฐานราก ที่ชุมชนจะต้องปรับตัวให้ทัน และเข้าใจการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี เพื่อไม่ให้ความเหลื่อมล้ำเกิดขึ้น และต้องนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับชุมชน มองว่า ต้องมีการสนับสนุนจากนโยบายการคลัง และการเข้าไปให้การศึกษา เพื่อพัฒนาให้เกิดทักษะใหม่ เพื่อตอบโจทย์  Financial Well-being  ของคนไทย 

“ผยง” กล่าวต่อว่า บทบาทหน้าที่ของธนาคารพาณิชย์ มุ่งสร้าง  Financial Well-being  ของคนไทย  ด้วยการให้บริการทางการเงินที่เป็นธรรม และอย่างมีความรับผิดชอบ ที่ตอบโจทย์ความต้องการอย่างแท้จริงและมีความเหมาะสมกับความเสี่ยง ไม่ทำให้คนไทยก่อปัญหาหนี้ตามมาในอนาคต 

 

“ ระบบธนาคารพาณิชย์จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน บริการทางการเงิน  ทำให้เกิดการแข่งขันสมบูรณ์ และให้ดอกเบี้ยเป็นธรรมมากขึ้นในแต่ละพื้นที่ ด้วยการผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตรวจจุด และจำเป็นเท่านั้นรวมถึงให้ความรู้ทางการเงิน เพื่อไม่ให้คนไทยมีการใช้จ่ายเกินตัว สามารถก้าวสู่สังคมสูงอายุ ก็ไม่เป็นภาระสังคม” 

 

พร้อมกันนี้แนะนำว่า ภาครัฐควรจะเร่งบูรณาการ การใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ จัดทำข้อมูลภาครัฐแบบรวมศูนย์ หรือOne Thailand  ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจาก สคค. สศช. ธปท. ที่จะสามารถแชร์ข้อมูลร่วมกันได้ และข้อมูลดังกล่าวสามารถทำให้เห็นได้ว่า ประเทศไทยมีความไม่เท่าเทียมในเชิงโครงสร้างอยู่จุดไหนบ้าง และใครควรจะทำหน้าที่เข้ามาเติมเต็มในจุดนั้นๆ ได้บ้าง 

 

รวมถึงการนำข้อมูลดัชนี SFFI ของสศค. ทางภาคการเงิน ยังสามารถนำมาตรวจสุขภาพทางการเงินและความต้องการทางการเงินที่แท้จริงของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรและอาชีพอิสระที่ยังไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากนัก รวมถึงการนำข้อมูลดัชนีดังกล่าว มากำหนดผลิตภัณฑ์ และบริการทางการเงินที่เหมาะกับแต่ละพื้นที่ และชุมชนทำให้คนไทยสามารถมีรายได้ขั้นต่ำที่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพได้หรือทำให้การเป็นหนี้นอกระบบของคนไทยในพื้นที่ต่างๆ ลดน้อยลงได้ 

 

นอกจากนี้ มองว่า ต้องให้ความรู้ทางการเงินกับคนไทย ซึ่งธนาคารพาณิชย์ สามารถเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และกลุ่มนักศึกษาได้เป็นอย่างดี ขณะที่กลุ่มคนในชุมชนห่างไกล จะมีธนาคารของรัฐที่มีความชำนาญมากกว่าเข้ามาดูแล และเอื้อให้คนกลุ่มฐานรากเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากกว่า

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์