เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง เปิดกลยุทธ์ลงทุนปี67 ปั้นพอร์ตทำกำไร
เคแบงก์ ไพรเวทแบงกิ้ง เปิดทริกปั้นพอร์ลงทุนรับปีมังกร แนะ เงินลงทุน50-70%ลงทุนกองทุนผสมแบบ Risk-based asset allocation 30-50% กระจายลงทุนตราสารหนี้คุณภาพดี พร้อมชูหุ้นไทย- จีน -อินเดีย -เวียดนาม ปั้นผลตอบแทนโตเด่น
นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Executive Chairman, Private Banking Group ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK เปิดเผยว่า บริบทการลงทุนในปี 2566 มีแนวโน้มดีขึ้น ตลาดหุ้นโลกปรับตัวสูงขึ้นถึงกว่า 17%โดยได้ปัจจัยสนับสนุนมาจากแนวโน้มการสิ้นสุดของวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้น อย่างไรก็ดี ความเสี่ยงด้านความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศยังคงสร้างแรงกดดันอยู่
สำหรับผลตอบแทนของตลาดหุ้นแยกเป็นรายประเทศ พบว่าตลาดหุ้นญี่ปุ่น (Nikkei225) และสหรัฐฯ (S&P500) ปรับตัวสูงขึ้น 30% และ 21% ตามลำดับ ในฝั่งสหรัฐฯ เป็นผลมาจากหุ้น 7 นางฟ้า (Magnificent 7) ที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างดี ในขณะที่ SET Index ของไทยเป็น 1 ในดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวลงมากที่สุดถึงประมาณ - 15%
และหากแยกผลตอบแทนเป็นรายสินทรัพย์ พบว่าตลาดหุ้นโลกปรับตัวขึ้นได้ดีที่สุด รองลงมาเป็นทองคำ ในขณะที่ตราสารหนี้ส่วนใหญ่บวกได้เล็กน้อย ในทางกลับกันการลงทุนในน้ำมันส่งผลลบในปีนี้
KBank Private Banking ให้ความสำคัญกับการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความคล่องตัวสูงเพื่อรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง กระจายความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนในสินทรัพย์ทั่วโลก รวมทั้งให้ความสำคัญกับการลงทุนเพื่อความยั่งยืน
โดยพอร์ตที่แนะนำอย่างกองทุน K-ALPHA มีโครงสร้างการลงทุนแบ่งเป็นพอร์ตหลัก (Core Portfolio) และพอร์ตเสริม (Satellite Portfolio) โดยพอร์ตหลักจะลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายทั่วโลกในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเป้าหมายของนักลงทุนในระยะยาว ขณะที่พอร์ตเสริมจะบริหารเชิงรุกทั้งในหุ้น ตราสารหนี้ และเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Funds) ให้ตอบรับกับสถานการณ์เศรษฐกิจและตลาดการเงิน ณ ขณะนั้น
ในปีนี้ กองทุนK-ALPHA มีผลตอบแทนดีขึ้นทั้ง 3 โมเดล ได้แก่ Conservative 1.5%*, Moderate 1.4%และ Aggressive 1.3%โดยกลุ่มกองทุน K-ALLROADS Series ที่เป็นพอร์ตหลักสร้างผลตอบแทนเป็นลำดับต้นๆ ของกลุ่มกองทุนรวมผสมในประเทศไทย สำหรับกองทุนเด่นในพอร์ตเสริมทั้งในส่วนของหุ้น ตราสารหนี้ และเฮดจ์ฟันด์ ได้แก่ กองทุนTBRAND กองทุนUPINCM-N และ กองทุนDAOL-FXALPHA-UI ตามลำดับ
สำหรับทิศทางการลงทุน KBank Private Banking ประเมิน 3 แนวโน้มของเศรษฐกิจในปี 2567 ได้แก่ 1.เศรษฐกิจโลกจะเติบโตต่อได้ แต่ในอัตราที่ชะลอลง โดยสหรัฐฯ สามารถเลี่ยงภาวะถดถอย ยุโรปค่อยๆ ฟื้นตัว ขณะที่จีนกำลังรอมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม 2.เงินเฟ้อจะลดลง ธนาคารกลางจะหยุดขึ้นดอกเบี้ย และจะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาส 2 หรือครึ่งหลังของปี และ 3.ตลาดจะจับตาประเด็นการเมือง โดยเฉพาะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ความสัมพันธ์ระหว่างจีน-สหรัฐฯ รวมทั้งความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
โดยพอร์ตการลงทุนที่แนะนำคือ เงินลงทุนส่วนใหญ่ (50-70%) ให้ลงทุนเป็นพอร์ตหลักในกองทุนผสมแบบ Risk-based asset allocation และเงินลงทุนในพอร์ตเสริม (30-50%) ให้กระจายลงทุนในตราสารหนี้คุณภาพดีทั้งพันธบัตรและหุ้นกู้ เพราะดอกเบี้ยรับที่สูงกว่าอดีตและโอกาสที่ราคาจะเพิ่มขึ้นเมื่อดอกเบี้ยในตลาดปรับลดลง ด้านตลาดหุ้นยังมีความท้าทายจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว จึงควรเน้นกองทุนที่บริหารเชิงรุกในหุ้นเติบโตทั่วโลกและหุ้นเอเชียที่ราคาถูกกดดันมามากทั้งในตลาดหุ้นไทย จีน อินเดีย รวมทั้งเวียดนาม สำหรับ Hedge Funds ที่จะช่วยลดความผันผวนและสร้างผลตอบแทนที่ไม่อิงกับภาวะตลาด ควรเน้นสินทรัพย์อ้างอิงในตลาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินสกุลหลัก
“ในปี 2567 ธนาคารยังคงมุ่งมั่นพัฒนาบริการและสานต่อโซลูชัน 4 เสาหลัก ที่ประกอบไปด้วย การลงทุนบนหลักการ Risked-based Asset Allocation การลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก การลงทุนเพื่อความยั่งยืน และการบริหารจัดการทรัพย์สินครอบครัว เราเชื่อว่าโซลูชันเหล่านี้ ยังคงสอดคล้องกับสภาวะตลาดและสภาพเศรษฐกิจ ซึ่งความท้าทายคือโซลูชันทั้ง 4 จะสามารถส่งมอบให้เกิดประโยชน์กับลูกค้ามากที่สุดได้อย่างไร เราจะต้องขับเคลื่อนการสื่อสารอย่างไร ให้เกิดประสิทธิภาพและถ่ายทอดความรู้สู่ลูกค้าในวงกว้าง เพื่อเปลี่ยนผ่านชุดความคิดและวิธีการบริหารจัดการทรัพย์สินแบบเดิมๆ โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือการเก็บรักษาและปกป้องให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ไม่ให้สูญมูลค่าไป การวางแผนเพื่อสร้างการเติบโตในการสร้างผลตอบแทนที่ดีในทุกสภาวะเศรษฐกิจ"