‘หลี่ เฉียง’ นายกฯ จีน รับปากปฏิรูป 'ระบบคลัง - ภาษี' หวังแก้หนี้รัฐบาลท้องถิ่น
หลี่ เฉียง (Li Chiang) นายกรัฐมนตรีจีน รับปากพิจารณา "การปฏิรูประบบการคลัง และภาษีใหม่" ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่นที่ประสบกับปัญหารายได้หดตัว และหนี้สินจำนวนมากจากเครื่องมือทางการเงิน LGFVs
สำนักข่าวนิกเคอิ เอเชีย (Nikkei Asia) รายงานข้อมูลในรายงานการทำงานของหลี่ เฉียง (Li Chiang) (7 มี.ค.67) ว่า จะพิจารณา "ปฏิรูประบบการคลังและภาษีใหม่" ซึ่งถือเป็นการช่วยเหลือรัฐบาลท้องถิ่น ที่ประสบกับปัญหารายได้หดตัว และหนี้สินจำนวนมาก อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายละเอียดของมาตรการออกมาจากรายงานฉบับดังกล่าว
ที่ผ่านมารัฐบาลท้องถิ่นในประเทศจีนมักขายสิทธิการใช้ที่ดินของรัฐให้กับนักพัฒนา และใช้เงินที่ได้มาเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและวัตถุประสงค์อื่นๆ แต่เมื่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ ของจีนตกต่ำ รายได้จากการใช้ที่ดินจึงลดลง 33% ระหว่างปี 2564 ถึง 2566
"งบประมาณกองทุนของรัฐบาลแห่งชาติ" ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบด้วยรายได้จากขาย และปล่อยเช่าที่ดินอยู่ที่ 2.8 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 3.88 แสนล้านดอลลาร์) ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้สําหรับปี 2565 และ 2566 ทําให้ภาครัฐต้องลดการใช้จ่ายลง
ด้านสภาแห่งรัฐซึ่งเป็นคณะรัฐมนตรีของจีนได้ตอบสนองต่อข้อบกพร่องเหล่านี้ด้วยการเพิ่มการชําระเงินโอน (Transfer Payments) แต่หลายคนโต้แย้งว่ารัฐบาลท้องถิ่นต้องการกระแสรายได้ที่มั่นคงมากขึ้น
รายงานการทํางานของรัฐบาลจีนในปี 2567 ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร ระหว่างการประชุมประจําปีของสภาประชาชนแห่งชาติเรียกร้องให้มีการปฏิรูปภาษี และการคลังเพื่อแก้ไขปัญหานี้ และปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ แต่ไม่มีมาตรการเฉพาะ
บทวิเคราะห์ของนิกเคอิ เอเชีย รายงานว่า ระบบการเงินของรัฐบาลท้องถิ่นจีนยังคงเผชิญกับความยากลำบาก ซึ่งส่วนใหญ่สะสมผ่านยานพาหนะทางการเงินของรัฐบาลท้องถิ่นอย่าง LGFVs ซึ่งเป็นช่องทางสําหรับการกู้ยืมนอกงบดุลเพื่อเป็นทุนในการกระตุ้นเศรษฐกิจงานสาธารณะ และโครงการอื่นๆ
โดยทั่วไปการกู้ยืมเงินในรูปแบบนี้ถือเป็นหนี้ที่ซ่อนอยู่ซึ่งนักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าได้รับการค้ำประกันโดยปริยายจากหน่วยงานท้องถิ่นที่อยู่เบื้องหลัง การสะสมของสินทรัพย์ที่ไม่ทํากําไร เช่น ทางหลวงที่มีการใช้งานน้อย ทําให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับการผิดนัดชําระหนี้
เพื่อลดแก้ไขปัญหาหนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของจีนจัดตั้งโครงการสําหรับรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อออกพันธบัตรรีไฟแนนซ์พิเศษ (Special Refinancing Bonds) โดยตรง เป้าหมายคือ การให้หน่วยงานท้องถิ่นโรลโอเวอร์หนี้ที่ซ่อนอยู่ในพันธบัตรดอกเบี้ยต่ำเหล่านี้
ตามรายงานของสื่อจีน พบว่า การออกพันธบัตรในปี 2566 สูงถึง 1.3 ล้านล้านหยวน โดยคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านหยวน ในปี 2567 เช่นกัน หนี้คงค้างของยานพาหนะทางการเงินของรัฐบาลท้องถิ่นอย่าง LGFVs สูงถึง 60 ล้านล้านหยวน ณ ปี 2566 ตามการประมาณการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) แม้ว่าจะไม่ใช่ทั้งหมดที่เสี่ยงต่อการผิดนัดชําระหนี้
รายงานเมื่อวันอังคาร กล่าวถึง "ความพยายามในการคลี่คลายความเสี่ยงด้านหนี้ของรัฐบาลท้องถิ่น" และการติดตามเพื่อขจัดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในวงกว้าง แต่ยังไม่มีมาตรการที่รุนแรงเพื่อลดภาระหนี้
ปัญหาประชากรสูงวัย
ปัญหาหนี้สินของจีนเกิดขึ้นท่ามกลางประชากรสูงอายุอย่างรวดเร็ว จํานวนผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี ซึ่งเป็นวัยเกษียณตามกฎหมายสําหรับผู้ชาย เกิน 20% ของประชากรเป็นครั้งแรกในปี 2023
ผู้ที่มีอายุ 16-59 ปีคิดเป็น 61% ของประชากรในปี 2566 ลดลง 6 จุดเปอร์เซ็นต์ ในช่วงทศวรรษก่อนหน้า เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น นโยบายลูกคนเดียวในอดีตของจีนจํากัดจํานวนคนวัยทํางาน
เพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบบําเหน็จบํานาญ และรักษาความปลอดภัยให้กับคนงาน "แผนห้าปีของรัฐบาลจีน" ซึ่งจะสิ้นสุดในปี 2568 เรียกร้องให้เพิ่มอายุเกษียณ อย่างไรก็ตามประชาชนจํานวนมากคัดค้านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวเนื่องจากกลัวว่ารายได้บํานาญทั้งหมดจะลดลง และความยากลําบากในการหางานทํา
อย่างไรก็ตาม รายงานการทํางานของรัฐบาลไม่ได้กล่าวถึงการเพิ่มอายุเกษียณ โดยกล่าวเพียงว่า "เราจะดําเนินการตามยุทธศาสตร์ชาติเชิงรุกเพื่อตอบสนองต่อการสูงวัยของประชากร"
Bloomberg
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์