โบรกประสานเสียง “หุ้นไทย” ปีนี้พุ่ง รับฟันด์โฟลว์ไหลเข้า
ลุ้น “หุ้นไทย” มีโอกาสแตะ 1,900 จุด โบรกประสานเสียงปีนี้ “ฟันด์โฟลว์” เข้าต่อ หนุนดัชนีฯ พุ่ง “ไพบูลย์” ชี้หุ้นไทยปรับตัวดีกว่าหุ้นทั่วโลก เหตุจีดีพีขยายตัว-นักท่องเที่ยวพุ่ง
ปิดฉากดัชนี SET INDEX ของปี 2565 ที่ระดับ 1,668.66 จุด (30 ธ.ค.) ด้วยมูลค่าการซื้อขาย (วอลุ่ม) 77,520 ล้านบาท ซึ่งระหว่างปีดัชนีตลาดหุ้นไทยขึ้นไป “จุดสูงสุด” (New High) ของปีที่ระดับ 1,713.20 จุด (18 ก.พ. 2565) และ ทำ “จุดต่ำสุด” (New Low) ของปีระดับ 1,533.37 จุด (15 ก.ค.2565) โดยที่ผ่านมาในรอบปีตลาดหุ้นไทยตกอยู่ในอาการ “ย่ำอยู่กับที่” ดัชนีฯ แทบไม่ไปไหน
กลายเป็นวัฒนธรรมประจำของ “นักวิเคราะห์” แทบทุกสำนักที่ในช่วงปลายปีต่อเนื่องเริ่มศักราชใหม่ ต่างพาเหรดออกมาวิเคราะห์เป้าหมายดัชนี SET Index ในปีถัดไป ! และในปี 2566 เหล่านักวิเคราะห์ดาหน้ากันมาขยับเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยเพิ่มขึ้น !! โดยทุกสำนักต่างมองว่า ปี 2566 ดัชนีหุ้นไทยจะทะยานขึ้นมาระดับ 1,700 จุด และบางสำนักว่าจะไปถึง 1,800 จุด เรื่อยขึ้นไปถึง 1,900 จุด !!
สอดคล้องกับ “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ และอดีตประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยปี 2566 มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นโลก เพราะ เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์วิจัยต่างๆ หน่วยงานภาครัฐคาดว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) จะสูงกว่าปี 2565 ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัวโดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่มีโอกาสเศรษฐกิจจะเข้าสู่ภาวะถดถอย (Recession) เช่น ยุโรป-สหรัฐ ทำให้เศรษฐกิจประเทศไทยโดดเด่นขึ้นมา
รวมถึงกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะยังคงปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป และ ค่าเงินบาทเริ่มแข็งค่าขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวส่งสัญญาณว่าดุลบัญชีเดินสะพัดกลับมาเกินดุล เพราะปี 2566 คาดว่านักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามามากกว่า 20 ล้านคน และค่าระวางเรือก็ปรับตัวลงแล้วมีความเป็นไปได้เงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ผลดำเนินงานบริษัทจดทะเบียน (บจ.) เติบโตที่ดี เพราะเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.5-3.7% หนุนให้ผลดำเนินงาน บจ. เติบโต ประกอบกับมูลค่าหุ้นไทยยังไม่สูงมาก เพราะปัจจุบันดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ระดับก่อนโควิด-19 ระบาดที่ 1,600 จุด จึงเป็นระดับราคาหุ้นยังไม่ได้ปรับขึ้นเกินฟื้นฐาน
“ไพบูลย์” กล่าวว่า ส่วนเม็ดเงินลงทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) คาดไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง จากปี 2565 ที่ต่างชาติซื้อสุทธิ 202694.36 ล้านบาท ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ฟันด์โฟลว์ไหลเข้าขนาดนี้แบบไม่เคยเห็นมาก่อนถ้านับปีปฎิทิน เพราะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาต่างชาติมีแต่ขายออก และแม้สภาพคล่องโลกกระทบการขึ้นดอกเบี้ย แต่สภาพคล่องทางการเงินยังดี นักลงทุนยังจำเป็นต้องจัดพอร์ตการลงทุนในตลาดหุ้นที่มีอัพไซด์ในปี 2566
“คาดหุ้นไทยปี2566 จะ Outperform ตลาดหุ้นโลกเพราะเศรษฐกิจเติบโตดีกว่า ดอกเบี้ยค่อยๆ ขึ้น ท่องเที่ยวฟื้น ส่งผลค่าเงินบาทแข็ง ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า”
สำหรับ ปัจจัยลบในปีนี้ที่ต้องระมัดระวัง เช่น จะมีปัจจัยอะไรมากระทบท่องเที่ยว จีนจะเปิดประเทศได้หรือไม่จากโควิด-19 ระบาด และเศรษฐกิจโลกจะถดถอยจะนานหรือไม่ เงินเฟ้อสหรัฐจะปรับตัวลงได้หรือไม่ ส่วนปัจจัยในประเทศ คือ การเมืองว่าผลการเลือกตั้งเป็นที่ยอมรับหรือไม่ และภาษีขายหุ้นจะกระทบวอลุ่มซื้อขายอย่างไร
ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีหุ้นไทยปี 2566 อยู่ในกรอบ 1,650-1,750 จุด โดยในช่วงที่สภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวค่อนข้างแรง ไม่ใช่เรื่องง่ายในการลงทุนนักลงทุนต้องระมัดระวังมากขึ้น หุ้นยังถือได้แต่ต้องเลือกตลาดหุ้น ซึ่งตลาดหุ้นไทยน่าสนใจลงทุน ซึ่งหากเป็นตลาดหุ้นสหรัฐ ต้องเลือกหุ้นดีเฟนซีฟ หุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในชีวิตประจำวัน เฮลท์แคร์ อย่าลงทุนหุ้นเทค ฯลฯ ส่วนตลาดหุ้นยุโรปให้หลีกเลี่ยงเพราะมีปัจจัยหลายอย่างตอบไม่ได้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจ สงคราม พลังงาน ขณะที่จีนยังมีความเสี่ยงเรื่องภาวะเศรษฐกิจ
"กิติชาญ ศิริสุขอาชา" ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์-รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า คาดดัชนีหุ้นไทยปี 2566 อยู่ที่ 1,900 จุด เนื่องจากวันที่ 7 พ.ค. 2566 จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจากสถิติ 11 ครั้งนับตั้งแต่ปี 2535 พบว่า ก่อนการเลือกตั้ง 3 เดือน ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้น 3.9% และหลังจากเลือกตั้ง 1 เดือน ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้น 2.5% ซึ่งความเป็นไปได้ 7 ใน 11 ครั้ง คือประมาณ 67% ตลาดหุ้นไทยจะขึ้นได้
รวมถึง ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่า เม็ดเงินฟันด์โฟลว์ไหลเข้า และนักท่องเที่ยวเข้ามาประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งฝ่ายวิจัยคาดว่าจะเข้ามา 21 ล้านคนเพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่ 11 ล้านคน ซึ่งหากนักท่องเที่ยวใช้จ่ายต่อคนที่ 50,000 บาท ซึ่งจะทำให้มีเม็ดเงินใช้จ่าย 550,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยหนุนให้จีดีพีปี 66 โตได้ระดับ 3% และจากดอกเบี้ยของสหรัฐน่าจะชะลอการขึ้น ซึ่งคาดขึ้น 2-3 ครั้ง ครั้งละ 0.25-0.75% จากปี 2565 ขึ้น 0.25-4.5% ขึ้นมา 4.25% ทำให้ดอลลาร์อ่อน จากไทยเติบโตดีที่ระดับ 3.7%
"กิจพณ ไพรไพศาลกิจ" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในปี 2566 มีทิศทางปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐ ยุโรป ฯลฯ มีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ภาวะถดถอย
รวมถึงภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ยิ่งส่งผลดีต่อภาคการจ้างงาน ซึ่งจะทำให้การบริโภคภายในประเทศฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ในช่วงกลางปี 2566 จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งจากนี้จนกว่าจะเลือกตั้งมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายมาตรกการจะช่วยหนุนการเติบโตของเศรษกิจในช่วงครึ่งปีแรก ประกอบกับประเทศไทยมีภาระหนี้ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่มีภาระหนี้สูง เช่น สหรัฐ ประเทศในยุโรป ญี่ปุ่น และหลายประเทศในประเทศเกิดใหม่ ซึ่งมีความเปราะบาง ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจลงทุน
ดังนั้น ทำให้ปี 66 ฟันด์โฟลว์ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทย เพราะประเทศไทยมีปัจจัยที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าประเทศอื่นในโลก ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่เป็นลักษณะการลงทุนระยะกลางและระยะยาว เลือกลงทุนในตลาดหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อย โดยประเมินเป้าหมายดัชนีปี 2566 อยู่ที่ระดับ 1,790 จุด และกรณีที่เลวร้ายสุดมองที่ระดับ 1,580 จุด
“มีโอกาสที่เศรษฐกิจสหรัฐจะไม่ถดถอยในช่วงครึ่งปีหลัง 66 ได้ เพราะสหรัฐมีโอกาสที่จะสามารถบริการจัดการเงินเฟ้อได้ดี และไม่ทำให้เศรษฐกิจถดถอยได้ และเศรษฐกิจยุโรปในไตรมาส 1 อาจฟื้นตัวได้ จากไตรมาส 3 ปี 2565 และไตรมาส 4 ปี 2565 ที่เศรษฐกิจไม่ดีส่วนสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนน่าจะมีิทิศทางที่ดี และดอกเบี้ยคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นจำกัดแล้ว ขณะที่ดอกเบี้ยของไทยขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป”