กลต.จี้‘STARK’แจงปมร้อน ค้างส่งงบการเงิน บอร์ดลาออกยกชุด
ก.ล.ต. จี้ “สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น” ชี้แจงกรณีค้างส่งงบการเงิน พร้อมทั้งประเด็นบอร์ดบริหารลาออกยกชุด เตือนนักลงทุนติดตามข้อมูลประกอบการตัดสินใจ “แบงก์ชาติ” มั่นใจไร้ผลกระทบระบบแบงก์ “กสิกรไทย” ย้ำชัดเป็นปัญหาเฉพาะตัว ไม่ส่งผลกระทบ ย้ำกันสำรองไว้แล้ว
กำลังเป็นประเด็นคึกโครมที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากกับกรณีหุ้น บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ที่ค้างส่งงบการเงินจนตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยต้องสั่งห้ามการซื้อขาย(SP) และยังมีประเด็นการลาออกแบบยกชุดของคณะกรรมการบริษัท ท่ามกลางกระแสข่าวเกี่ยวกับงบการเงินที่มีปัญหา ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้สั่งให้ STARK ออกมาชี้แจงในเรื่องนี้แล้ว
นางสาวจอมขวัญ คงสกุล รองเลขาธิการสำนักงาน ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. ได้ประสานกับบริษัทแล้วเพื่อให้ชี้แจงตามที่ปรากฏเป็นข่าวดังกล่าว และขอให้ผู้ลงทุนติดตามข้อมูลประกอบการตัดสินใจ
ด้าน STARK ชี้แจงเพิ่มเติม กรณีบริษัทมีการปรับเปลี่ยนคณะกรรมการ และ ผู้บริหารของบริษัท ว่า เมื่อวันที่ 18 และ 19 เมษายน 2566 บริษัทได้รับหนังสือแจ้งความประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และกรรมการชุดย่อยของบริษัทจากกรรมการทั้งสิ้น 7 ท่าน เนื่องจากกรณีที่บริษัทไม่สามารถจัดทำงบการเงิน ประจำปี 2565 ให้เสร็จสมบูรณ์ภายใต้ระยะเวลา และเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด อันส่งผลให้นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่แสดงความประสงค์ที่จะดูแลแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ลุล่วง
ดังนั้น เพื่อให้บริษัทสามารถแก้ปัญหาดังกล่าวได้ รวมถึงบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจต่อไปได้โดยไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท กรรมการทั้ง 7 ท่านจึงประสงค์ขอลาออกจากตำแหน่งกรรมการและกรรมการชุดย่อยของบริษัท ในการนี้ที่ประชุมคณะกรรมการจึงมีมติรับทราบการลาออกของกรรมการทั้ง 7 ท่าน ดังกล่าว และแต่งตั้งกรรมการเข้าใหม่แทนที่กรรมการที่ลาออกแล้ว รวม 6 คน
โดยมี พันตำรวจโทปกรณ์ สุชีวกุล เป็นประธานบริษัท แทน นายชนินทร์ เย็นสุดใจ และยกเลิกตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่ และนายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ขึ้นรักษาการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)กล่าวว่า กรณีปัญหาของ STARK เชื่อว่า เป็นภาวะปกติที่อาจมีธุรกิจที่จะประสบปัญหาต่างๆได้ ดังนั้นธปท.ไม่ได้ห่วงสำหรับการดำเนินธุรกิจขนาดใหญ่
ส่วนการตั้งสำรองทำให้สถาบันการเงินจำเป็นต้องตั้งสำรองเพิ่มขึ้น ซึ่งถือเป็นหลักเกณฑ์การระมัดระวังโดยปกติของสถาบันการเงิน เพื่อดูแลเสถียรภาพสถาบันการเงิน เพราะที่ผ่านมา สถาบันการเงิน ถือว่ามีบทเรียนอย่างดีจากวิกฤติปี 40 ทำให้แบงก์มีความระมัดระวังมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาต่างๆที่อาจเกิดขึ้นได้
ด้าน นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวถึงกรณีลูกค้าธุรกิจรายใหญ่รายหนึ่งที่มีปัญหาในขณะนี้(STARK) ซึ่งมีแนวโน้มอาจจะมีปัญหาเรื่องการส่งงบการเงินการล่าช้า และปรับเปลี่ยนทีมผู้บริหารนั้น ธนาคารในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายหุ้นกู้ STARK และลูกค้าของธนาคาร มองว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเฉพาะตัวบริษัท ไม่ใช่เป็นปัญหาของระบบสถาบันการเงิน
โดยทางธนาคารกำลังรอดูทิศทางของบริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการหาแนวทางแก้ไขปัญหาให้ชัดเจนการก่อนจะตัดสินใจใดๆ ขณะนี้บริษัทดังกล่าวยังไม่ได้มีการนัดหมายหารือกับธนาคารแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตามในไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารได้มีการตั้งสำรองฯ ลูกค้ารายใหญ่ดังกล่าวนี้ เต็มจำนวนครบถ้วนแล้วและสำหรับลูกค้าธุรกิจรายใหญ่รายอื่นๆ ยังเดินหน้าทำกำไรต่อเนื่อง รวมถึงธนาคารด้วย ซึ่งยังพิจารณาความเหมาะสมในการกันสำรองฯ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
“เราเชื่อว่า ทุกธุรกิจต้องการสร้างผลกำไรและให้ธุรกิจเติบโต รวมถึงธนาคารด้วย ดังนั้น กำไรไตรมาส 1 ปีนี้ที่ลดลงเพราะมีหลายปัจจัย ไม่เฉพาะปัญหาลูกค้ารายหนึ่ง”