ครึ่งเดือนแรกดูสดใสกว่าครึ่งเดือนหลัง
เดือนเม.ย. จัดว่าเป็นเดือนพักผ่อนของประเทศไทย ทำให้วันทำการมีน้อย ก็ย่อมจะเป็นเดือนที่ภาวะการลงทุนจะออกไปทางเรื่อยๆ ไม่หวือหวามาก โดยเฉพาะปริมาณการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ที่เบาบาง โดยมีมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพียง 4.5 หมื่นล้านบาท
เรามาดูกันว่าปัจจัยต่างประเทศมีอะไรบ้าง ลองตามไปดูกันว่ามีสาเหตุมาจากอะไรบ้าง เริ่มจาก OPEC พลัส ประกาศลดกำลังการผลิตน้ำมันขนานใหญ่ราว 1.1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยจะเริ่มต้นตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้ไปจนถึงสิ้นปี ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี สหรัฐฯรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมี.ค.ใกล้เคียงตลาดคาด แต่ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับเป้าหมายของ Fed ส่งผลให้นักลงทุนเพิ่มความน่าจะเป็นในการที่ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นอีก และทำให้ Bond yield สหรัฐฯปรับเพิ่มอย่างรวดเร็ว
ข่าวที่ดี น่าจะมาจากตัวเลข GDP ไตรมาสแรกของจีน ขยายตัวที่ระดับ 4.5% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 2.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ดีกว่าคาดทั้งคู่ ส่วนยอดค้าปลีก ในเดือนมี.ค.ขยายตัว 10.6% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าที่ตลาดคาดที่ 7.5% อย่างมีนัยสำคัญ บ่งชี้ว่าภาคอุปสงค์ภายในประเทศโดยเฉพาะภาคการบริโภคมีการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปัจจัยในประเทศที่สำคัญ ททท.รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติประจำเดือนมี.ค.ที่ระดับ 2.2 ล้านคน ดีขึ้น 5% จากเดือนก่อน และดีกว่าในเดือนมกราคม ถือเป็นการสะท้อนภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยในเดือนมี.ค. มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนทั้งสิ้นอยู่ที่ 2.7 แสนคน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนที่ 1.6 แสนคน คิดเป็นการเพิ่มขึ้นกว่า 73%
และ ผู้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาส่งสัญญาณ ที่ยังคงนโยบายการเงินแบบเข้มงวดต่อไป โดยยังคงเน้นย้ำว่ามุมมองของ ธปท.ตอนนี้อยู่ที่การสร้างเสถียรภาพทางด้านราคาและเสถียรภาพในระบบสถาบันการเงิน เพิ่มความเป็นไปได้ที่ กนง.จะมีการปรับเพิ่มดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนพ.ค.นี้
สำหรับภาวการณ์ลงทุนในเดือน พ.ค. สัปดาห์แรกคงเริ่มจาก การประชุม FOMC วันที่ 3 พ.ค. FED จะมีทิศทางที่ผ่อนคลายลง แต่ทิศทางการขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ยังคงเป็นไปตามการคาดการของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ สำหรับประเด็นร้อนที่จะต้องเฝ้าติดตามก็คงปัญหาการขาดสภาพคล่องของธนาคารขนาดกลางและเล็กของสหรัฐฯ ที่ยังคงสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินของสหรัฐฯ ได้
ขณะที่ประเทศไทย ผมมองว่า ในด้านตลาดหุ้นก็น่าจะคึกคักขึ้น จากความเชื่อว่าจะเกิดปรากฏการณ์ Election rally ที่มักเกิดขึ้นก่อนหน้าการเลือกตั้งจริงราว 2 สัปดาห์ ซึ่งน่าจะทำให้เกิดแรงเก็งกำไรในกลุ่มหุ้นได้ อย่างไรก็ตามในช่วงหลังจากการเลือกตั้งผ่านพ้นไปราว 1 สัปดาห์ อาจจะเกิดความผันผวนได้จากผลการเลือกตั้งที่ออกมาที่อาจจะไม่สามารถก่อให้เกิดกรณีที่พรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลสามารถรวมเสียงได้เกินกว่า 375 เสียง
ทำให้สุดท้ายแล้ว การตัดสินเลือกนายกฯและการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีจะต้องไปรวมผลคะแนนโหวตของส.ว. 250 เสียงอีกต่อหนึ่ง หากเป็นเช่นนี้ คาดว่าจะเห็นปรากฏการณ์ Sell on fact ในตลาดหุ้นเกิดขึ้นภายหลังการเลือกตั้งเสร็จสิ้นได้ราว 1 สัปดาห์ คล้ายกับสถิติที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ในฝั่งในประเทศนั้น คาดว่าหลัง พอมาถึงวันสุดท้ายของเดือนยังมีการประชุม กนง.รออยู่ในวันที่ 31 พ.ค. ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ไปอยู่ที่ 2.00% ดังนั้นครึ่งเดือนแรกจะค่อนไปทางดีกว่าช่วงครึ่งเดือนหลัง
ถึงแม้ว่าภาพการลงทุนในประเทศไทยจะดูดีจากภาพการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัว แต่สภาวะเศรษฐกิจทั่วโลก และสถานการณ์ ยูเครน รัสเซีย ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง ทำให้เรายังคง จัดพอร์ตการลงทุนอย่างระมัดระวัง สัดส่วนการลงทุนประมาณ 50% กระจายลงหุ้นไทย 20% และอีก 30% แบ่งเป็น สหรัฐอ จีน และ ญี่ปุ่น ประเทศละ 10% เท่าๆ กัน อีก 50% ที่เหลือ แบ่งเป็นลงทุนในตราสารหนี้ระยะสั้น 20% เป็นตราสารหนี้ระยะกลางโดยเน้นที่เป็นตราสารที่มีระดับความเสี่ยงที่สามารถลงทุนได้ investment grade ประมาณ 15% ที่เหลืออีก 15% แบ่งเป็น ทองคำ น้ำมัน และ REITs อย่างละเท่าๆกัน