หุ้นกลุ่มธนาคาร ไตรมาส 3/66 คาดโต 53.25 หมื่นล้าน ตั้งสำรองเริ่มชะลอตัวลง

หุ้นกลุ่มธนาคาร ไตรมาส 3/66 คาดโต 53.25 หมื่นล้าน ตั้งสำรองเริ่มชะลอตัวลง

"โบรกเกอร์" คาดกำไรสุทธิใน 3Q66 ของกลุ่มธนาคารโต อยู่ที่ 53,225 ล้านบาท หลัง NIM ปรับขึ้นต่อ และคาดสำรองเริ่มชะลอลง ด้าน KTB กำไรปรับขึ้นได้ดี ขณะที่ BBL คุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแรง ส่วน SCB เป็น Top Pick ของกลุ่ม

ตฤณ สิทธิสวัสดิ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ภาพรวมของกำไรสุทธิ 3Q66 ของกลุ่มธนาคาร คาดที่ 53,225 ล้านบาท โต 19.0% YoY และ 1.7% QoQ แม้มีแรงกดดันจากกำไรเงินลงทุนที่เกิดจากการที่มูลค่าเครื่องมือทางการเงินที่ไม่โดดเด่นเหมือนกับใน 1H66 แต่คาดจะถูกชดเชยด้วย 

1.รายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิที่ขยายตัวได้ดีต่อเนื่อง รับรู้ผลของการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ของธนาคารต่างๆ ในเดือน มิ.ย. และนโยบายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อ High Yield ช่วยให้คาด Asset Yield และ NIM ของธนาคารใหญ่ขยับขึ้นต่อได้ ส่วนต้นทุนทางการเงินคาดเพิ่มขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไปเนื่องจากธนาคารเน้นปรับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ ทำให้ผลกระทบที่เกิดในระยะสั้นไม่สูงนัก 

2.คาดรายได้ค่าธรรมเนียมมีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น QoQ หลังผ่านช่วง Low Season ของธุรกิจนายหน้าขายประกันภัยไปแล้ว รวมถึงคาดรายได้ค่าธรรมเนียมธนาคารจะฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนธุรกิจตลาดทุนคาดฟื้นตัวเช่นกัน สอดรับกับปริมาณซื้อขายของตลาดที่เพิ่มขึ้น 11.2% QoQ และ 

3.ค่าใช้จ่ายในการตั้งสำรองแม้คาดยังอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับในอดีต แต่มองว่าจะเริ่มทยอยปรับตัวลง หลังหลายธนาคารเร่งตั้งสำรองจำนวนมากไปแล้วใน 1H66 หลังมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยเสริม

ทั้งนี้ ในฝั่งของธนาคารใหญ่ภาพรวมผลดำเนินงานโตดีYoY เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น 1% อีกทั้งมีพอร์ตสินเชื่อที่ใหญ่ขึ้น ส่วน QoQ คาดปรับขึ้นเล็กน้อย โดยธนาคารใหญ่ที่คาดผลดำเนินงานโตดีใน 3Q66 คือ KTB คาดกำไรสุทธิ 10,574 ล้านบาท +25.1% YoY, +4.1% QoQ หนุนจากการเร่งขยายสินเชื่อใหม่ทั้งในฝั่งสินเชื่อโครงการภาครัฐ ที่โตดีหลังมีการจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงสินเชื่อรายย่อยที่เป็นกลุ่มนอกจากราชการเช่น สินเชื่อ Digital และสินเชื่อจำนำทะเบียน 

รองลงมาคือ BBL คาดกำไรสุทธิ 11,418 ล้านบาท +49.1%YoY, +1.1% QoQ มีแรงกดดันจากพอร์ตสินเชื่อที่ชะลอตัว จากการชำระเงินคืนของบริษัทขนาดใหญ่ แต่ถูกชดเชยด้วย NIM ที่เร่งตัวขึ้นตามการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และการตั้งสำรองที่ต่ำลง 

ส่วน SCB คาดกำไรสุทธิ 11,979 ล้านบาท 16.2% YoY, +0.9% QoQ แม้ไม่มีกำไรจากเงินลงทุนของ SCB10X มากเท่า 2Q66 แต่คาดจะถูกชดเชยด้วยการตั้งสำรองที่ต่ำลง หลังผ่านพ้นการตั้งสำรองข้อผิดพลาดของ CardX ไปแล้วใน 2Q66 บวกกับพอร์ตสินเชื่อและ NIM ที่โตต่อ 

สำหรับ KBANK คาดกำไรสุทธิ 11,029 ล้านบาท +4.3%YoY,+0.3% QoQ กดดันจากการตั้งสำรองที่ยังสูงและสินเชื่อที่ยังขยายตัวได้ไม่ดี

ขณะที่ธนาคารขนาดกลาง และเล็กภาพรวมค่อนข้างทรงตัว โดยมีเพียง KKP คาดกำไรสุทธิ 1,627 ล้านบาท -21.9% YoY, +15.5% QoQ ที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำใน 2Q66 หลังผ่านการเร่งขายรถยึด และการตั้งสำรองจำนวนมากไปแล้ว ประกอบกับได้อานิสงส์บวกจากการฟื้นตัวปริมาณการซื้อขายในตลาดทุน 

ส่วน TTB คาดกำไรสุทธิ 4,576 ล้านบาท +23.2% YoY, +0.2% QoQ หนุนจาก NIM ที่คาดปรับขึ้นเล็กน้อย ขณะที่การตั้งสำรองเริ่มทรงตัว 

สำหรับ TISCO คาดกำไรสุทธิ 1,835 ล้านบาท +3.6% YoY, -1.0% QoQ คาดการตั้งสำรองขยับขึ้นจากฐานที่ต่ำใน 2Q66 และการรุกขยายสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูงขึ้น

ด้านแนวโน้มกำไรสุทธิใน 4Q66 เบื้องต้นคาด QoQ จะปรับตัวลงจากปัจจัยด้านฤดูกาล เพราะเป็นช่วงที่ธนาคารต่างๆ โดยเฉพาะธนาคารใหญ่จะมีการตั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานมากกว่าไตรมาสอื่น ทั้งในส่วนของค่าโบนัสพนักงาน และค่าใช้จ่ายลงทุนด้านโครงสร้าง IT หรือพัฒนาระบบงานต่างๆ

ขณะที่ YoY คาดจะปรับขึ้นได้ดี จากฐานที่ต่ำในปีก่อนเพราะ KBANK มีการตั้งสำรองพิเศษจำนวนมาก ซึ่งคาดจะไม่เกิดขึ้นซ้ำอีกในปีนี้ อีกทั้งได้อานิสงส์จากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่กลับมาขยับขึ้นอีกครั้งในเดือน ต.ค.2566 ช่วยให้แนวโน้ม NIM ยังมีทิศทางปรับขึ้นได้ต่อในช่วงที่เหลือของปี หนุนให้คงคาดกำไรสุทธิของกลุ่มธนาคารในปี 2566 จะอยู่ที่ 191,008 ล้านบาท โต 15.5% YoY

อย่างไรก็ตาม ยังคงแนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่มธนาคาร “มากกว่าตลาด” เนื่องจากเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ได้ประโยชน์ตามแนวโน้มเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้น หลังภาครัฐ เตรียมออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและลดค่าครองชีพอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ 4Q66 คาดจะช่วยให้ทั้งพอร์ตสินเชื่อขยายตัวดีขึ้น และคุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มที่แข็งแรงขึ้น 

นอกจากนี้ ยังมีผลบวกจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในเดือนต.ค.ที่ผ่านมา ทำให้ NIM จะยังปรับขึ้นได้ต่อใน 4Q66 ช่วงสั้นนักลงทุนอาจพิจารณาเก็งกำไรในหุ้นธนาคารที่คาดผลดำเนินงานจะออกมาดีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินเชื่อต่ำ และ Valuation ยังไม่แพงอย่าง KTB และ BBL

แต่สำหรับภาพระยะกลางและยาว ยังแนะนำ SCB เป็น Top Pick ของกลุ่ม เนื่องจากมีความสามารถในการเร่ง ROE ได้ในระยะยาว แม้จะสิ้นสุดดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้ว หนุนจากการขยายธุรกิจ Consumer Finance และธุรกิจ Fintech ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าธุรกิจเดิมของธนาคารอีกทั้งมีจุดเด่นที่ปันผล คาดให้ Div.Yield จากผลดำเนินงาน 2H66 อีก 4.1%

 

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์