กลุ่ม JMART ร่วงแรง ‘ไร้ปัจจัย’ หรือ ‘แรงชอร์ตกระหน่ำ‘
หุ้นกลาง – หุ้นเล็ก ราคานิวโลว์รายวัน แม้จะเข้าสู่รายการงบการเงินไตรมาส 3 ปี 2566 ไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลายบริษัทงบดีตามคาด และเกินคาดกลับกลายเป็นการขายจนเกิดภาวะวิตกยังมีปัจจัยลบที่ไม่เปิดเผยอีกหรือไม่ ซึ่งมีหุ้นที่เผชิญแรงขายดังกล่าวอย่าง “กลุ่มเจมาร์ท “
บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART บริษัทแม่ของ บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT , บริษัท ซิงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER ,บริษัท เอสจี แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ SGC และบริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J
ราคาหุ้นที่ร่วงหนัก และต่อเนื่องเริ่มจุดพลุตั้งแต่กลุ่ม ‘ผู้ถือหุ้นใหญ่’ ลามไปยัง ‘งบการเงิน’ ติดตัวแดง การเติบโตชะงัก และอาจจะลามไปยังสถานะการเงินในอนาคต และไล่กระทบเกือบทั้งกลุ่ม "เจมาร์ท"
จากงบการเงินของ SCG ที่พลิกขาดทุน และมีสัญญาณหนี้เสีย – ข้อสงสัยว่าสินค้าคงคลังไม่ตรงกับยอดขาย ลามไปยัง SINGER จนมีการปรับฐานกำไร และราคาหุ้นตามมาพากระทบราคาหุ้น JMART
ถัดมายังเกิดเหตุการณ์ผู้ถือหุ้น “corner แตก “ กระหึ่มตลาดหุ้นไทย หลังหุ้น JMART เจอ Margin Call หรือเรียกหลักประกันเพิ่มเติมหลังราคาร่วงลงต่ำ และหากไม่พอต้องถูกบังคับขาย หรือ Force Sell ตามมาอีกในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ราคาหุ้นหลุดระดับ 30 บาท
โดยเป็นการออกมาชี้แจง "อดิศักดิ์ สุขุมวิทยา” เจ้าของ และผู้บริหารขายหุ้น Big Lot รวมกับภรรยาจำนวนรวม 54 ล้านหุ้น ให้กับกลุ่มนักลงทุนสถาบันทั้งหมด จาก Margin Call สถานการณ์ดังกล่าวเป็นการแก้ไขปัญหาของผู้ถือหุ้นรายใหญ่แต่ไม่ได้เพิ่มความมั่นใจให้กับนักลงทุน
เมื่อมุมมองในหุ้นเริ่มถูกปรับคาดการณ์กำไรปีนี้ลดลง และเพิ่มความกังวลการผิดนัดชำระหนี้หุ้นกู้ที่ตามหลอกหลอนนักลงทุนจากกรณีหุ้น STARK ที่สร้างลูกหนี้ – เจ้าหนี้การค้า ที่มีไม่อยู่จริงขึ้นมาเพื่อตกแต่งบัญชี
ดังนั้นหุ้นที่วางเป็นกลุ่มยอดนิยมลงทุนของรายย่อย – รายใหญ่ และ Market Marker จึงวงแตกหาทางทยอยเทขายหุ้นออกมาอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้น JMART ปี 2565 ปิดที่ 40.75 บาท ลงมาอยู่ที่ 14.12 บาท (14 พ.ย.66) รวมทั้งหุ้น JMT ที่ถูกมองว่าเป็นหุ้นกำไรเติบโตดีถูกเทขาย – ไล่เอากำไรผสมแพนิกเซลล์ จากราคาสิ้นปี 2565 ปิดที่ 70 บาท มาอยู่ที่ 24.40 บาท (14 พ.ย.66)
นอกจากการเทขายปกติแล้วการใช้เครื่องมือ Short sell อีกเครื่องมือหนึ่งที่ทำโอกาสให้กับนักลงทุนยิ่งภาวะตลาดหุ้นไร้สภาพคล่อง – ปัจจัยการฟื้นตัวยังไม่ชัดเจน – กำไร บจ. เพิ่มขึ้นกระจุกในบางกลุ่มธุรกิจ ไม่นับรวมปัจจัยเฉพาะหุ้นที่ประเด็นผิดนัดชำระหนี้ – เบี้ยวหนี้ปะทุมาอย่างต่อเนื่อง และไม่มีกลไกดูแลนักลงทุนดีพอ เกิดการ Short sell ตามมา
JMART – JMT เป็นหุ้นที่มีธุรกรรม Short sell ไม่แตกต่างหุ้นอื่นแต่เทียบปริมาณ และมูลค่าถือว่าเป็นกลุ่มลำดับต้นๆ ที่มีธุรกรรมจำนวนมาก เดือนต.ค. JMART ที่ 17.46 ล้านหุ้น มูลค่า 355 ล้านบาท JMART-R หรือผ่าน NVDR 14.40 ล้านหุ้น มูลค่า 303 ล้านบาท ราคาหุ้นร่วงเดือนนั้นจาก 23.10 บาท อยู่ที่ 16.40 บาทลดลง 29%
JMT เดือนต.ค. ที่ 18.73 ล้านหุ้น มูลค่า 719 ล้านบาท JMT-R หรือผ่าน NVDR 9.40 ล้านหุ้น มูลค่า 375 ล้านบาท ราคาหุ้นร่วงเดือนนั้น จาก 48.50 บาท อยู่ที่ 29.50 บาทลดลง 39.17%
กลไกตลาดหุ้นในไทย และอีกหลายประเทศ เปิดให้มีการ Short sell แต่ช่วงที่ผ่านมาปรากฏการณ์กังขาเครื่องมือดังกล่าวเกิดความเหลื่อมล้ำระหว่างต่างชาติ – รายใหญ่ และรายย่อย ที่มีเม็ดเงินไม่เท่ากัน ด้วยการใช้โปรแกรมเทรดดิ้งประเภท High-Frequency Trading (HFT) และ Robot Trade ทำการ Short sell แบบไร้ลิมิตจนราคาหุ้นลงนิวโลว์อยู่แล้ว และรับข่าวผลกระทบยังลงนิวโลว์ได้อีกแบบไร้เหตุผล
ดังนั้นหากเป็นหุ้นที่ยังมีพื้นฐานที่ความกังวลใจจากนักลงทุนผสมกับตลาดหุ้นยังอยู่ในภาวะขาลง ไร้ความเชื่อมั่น ขาดสภาพคล่อง บรรดาหุ้นเหล่านี้หนีไม่พ้นเผชิญกดราคาเทขายเพื่อทำกำไรกลุ่มเก็งกำไรในตลาดหุ้น
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์