The correction phase has started.
Higher for Longer ที่หมายถึงว่าอัตราดอกเบี้ยนั้นจะยังอยู่สูงยาวนานกว่าปกติถูกกลับนำมาพูดอีกครั้ง ทำให้ตลาดการเงินในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการปรับตัวลงทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น
ในตลาดการเงินเป็นที่เข้าใจกันดีว่าราคาของสินทรัพย์จะมีสะท้อนมุมมองนักลงทุนในอนาคต ซึ่งด้วยเหตุนี้เองก็มักจะเป็นสิ่งที่สร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงิน ดังจะเห็นได้จากปีนี้นักลงทุนนั้นมีการปรับเปลี่ยนมุมมองเรื่องดอกเบี้ยของสหรัฐฯ อย่างมาก เมื่อตอนต้นปีนั้นเคยมีการคาดการณ์ว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยมากถึง 7 ครั้ง ซึ่งก็มีส่วนอย่างมากต่อการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตลาดหุ้นและตราสารหนี้ในช่วงปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงเดือนที่ผ่านมาภายหลังจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังไม่ได้ลดลงไปสู่ระดับเป้าหมาย อีกทั้งยังเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าอีกด้วย ทำให้คาดการณ์การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นลดลงไปเหลือเพียงแค่ 1-2 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ความกังวลด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่เกิดขึ้นในช่วงกลางเดือนที่ผ่านมาก็สร้างความกังวลต่อราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นก็จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อนั้นไม่สามารถปรับตัวลงมาได้ คำว่า Higher for Longer ที่หมายถึงว่าอัตราดอกเบี้ยนั้นจะยังอยู่สูงยาวนานกว่าปกติถูกกลับนำมาพูดอีกครั้ง ทำให้ตลาดการเงินในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมามีการปรับตัวลงทั้งตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีปรับตัวลดลง -4.16% เป็นการปรับตัวลงเดือนแรกหลังจากบวกติดต่อกันมา 5 เดือน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่น่าประหลาดใจ
อย่างไรก็ตาม จากการประชุมเฟดครั้งล่าสุดในสัปดาห์ที่ผ่านมาค่อนข้างชัดเจนว่าแม้ว่าเฟดจะยังไม่สามารถลดอัตราดอกเบี้ยได้ในตอนนี้เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อนั้นยังไม่ลดลงไปที่เป้าหมายและช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่โอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ไม่มีเช่นกันซึ่งช่วยลดความกังวลต่อตลาดไปได้
นอกจากนี้ ยังมีการปรับลดขนาดของการทำ Quantitative tightening หรือการลดขนาดงบดุลของเฟดลงจากระดับ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือนเป็น 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ซึ่งมองว่าเป็นสัญญาณที่ Dovish หรือผ่อนคลายต่อตลาดการเงินดังจะเห็นว่าสินทรัพย์เสี่ยงกลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง ทั้งนี้ในมุมมองของตลาดยังคงมีการคาดการณ์ว่าเฟดจะยังสามารถลดอัตราดอกเบี้ยลงได้ 1-2 ครั้งในปีนี้ซึ่งมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นครั้งแรกในช่วงไตรมาสสุดท้ายปีนี้ ทำให้เรามองว่าการปรับฐานของตลาดที่เกิดขึ้นนั้นเป็นโอกาสที่ในการเข้าลงทุน
อย่างไรก็ตามนักลงทุนอาจจะยังเห็นความผันผวนในช่วงข้างหน้าได้ทั้งจากปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ รวมไปถึงในเชิงสถิติย้อนหลังปีที่มีการเลือกตั้งสหรัฐฯ นั้นในช่วง 3-6 เดือนก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลาดหุ้นมักจะเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ ดังนั้น เรายังคงเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทที่มีคุณภาพซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าในตลอดช่วงที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ระดับสูงก็ยังสามารถรับมือได้เป็นอย่างดี ดังจะเห็นว่าการประกาศงบในช่วงที่ผ่านมานั้นมักจะออกมาสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดโดยเฉพาะบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่ได้อานิสงส์ด้าน Artificial intelligence (AI) ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งการที่อัตราดอกเบี้ยสูงก็ช่วยสร้างผลตอบแทนจากดอกเบี้ยรับเนื่องจากบริษัทเหล่านี้มักมีการถือเงินสดจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเริ่มเห็นความกังวลของนักลงทุนต่อบริษัทที่มีการเพิ่มการลงทุน (Capital expenditures) มากขึ้นเนื่องจากอาจจะกระทบกับกำไรในระยะข้างหน้าได้ถ้าการลงทุนเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้หรือกำไรให้ดีขึ้น
ในทางตรงกันข้ามกับตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจีนปรับตัวขึ้นสวนทางตลาดหุ้นอื่นส่วนหนึ่งมาจากการปิดสถานะชอร์ตเซลล์ที่มีอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาหลังตลาดหุ้นจีนฟื้นจากจุดต่ำสุดในช่วงต้นปีมาแล้วกว่า 20% ซึ่งนักลงทุนมักใช้เป็นสัญญาณว่าตลาดหุ้นนั้นเข้าสู่ภาวะกระทิง ซึ่งถือว่าความพยายามของทางการจีนในการพยายามกลับมาสร้างความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนครั้งนี้ได้ผลซึ่งเชื่อว่าการฟื้นตัวในระยะสั้นยังคงมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อ
อย่างไรก็ตามเรายังมองว่าตลาดหุ้นจีนในภาพระยะยาวนั้นยังต้องติดตามและจะเริ่มเข้าสู่ช่วง Reality check เนื่องจากในด้านตัวเลขเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา (laggard indicator) ยังคงส่งสัญญาณที่อ่อนแอทั้งในด้านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมี Inventory คงค้างในระบบสูงขึ้น ตัวเลขกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านภาคผลิตที่กลับมาชะลอตัว การปล่อยสินเชื่อหรือการขอกู้ยืมก็ยังคงลดลง ปัจจัยเหล่านี้จะล้วนส่งผลต่อภาพตลาดหุ้นจีนว่าจะสามารถฟื้นตัวอย่างมีเสถียรภาพหรือไม่ ดังนั้น นักลงทุนควรจะใช้การฟื้นตัวในการปรับพอร์ตหุ้นจีน โดยเน้นในหุ้นที่มีคุณภาพที่ดีและหุ้นที่มีการจ่ายปันผลมากขึ้น
ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจลงทุนควรติดต่อสอบถามรับข้อมูลและคำแนะนำเพิ่มเติมเพื่อเฟ้นหาการลงทุนที่เหมาะสมได้ที่ผู้แนะนำการลงทุนของท่าน