THCOM กำไร Q2/67 เหลือ 62.8 ล้าน ลดลง 86% เหตุไม่มีรายการพิเศษ
"ไทยคม" เผยกำไร Q2/67 อยู่ที่ 62.8 ล้าน ลดลง 86% เหตุไม่มีรายการรับรู้ค่าชดเชยข้อพิพาทคู่สัญญาเหมือนช่วงเดียวกันปีก่อน ส่วนรายได้ยังพอขยายตัวได้ จากการให้บริการลูกค้าในประเทศเพิ่มขึ้น
นายอนุวัฒน์ สงวนทรัพยากร หัวหน้าคณะผู้บริหาร ด้านการเงิน บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) (THCOM) แจ้งผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า งบการเงินไตรมาสที่ 2/2567 กำไรส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่เท่ากับ 62.83 ล้านบาท จากไตรมาสที่ 2/2566 ที่ทำได้ 456.60 ล้านบาท
รวม 6 เดือนแรกปี 2567 เท่ากับ 350.46 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 546.17 ล้านบาท
คำวิเคราะห์ของฝ่ายจัดการระบุว่า บริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการในไตรมาส 2/2567 จำนวน 638 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้จำนวน 609 ล้านบาทในไตรมาส 1/2567 (QoQ) และจำนวน 636 ล้านบาทในไตรมาส 2/2566 (YoY) โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้จากการให้บริการดาวเทียมและเกี่ยวเนื่องที่เพิ่มขึ้นจากลูกค้าในประเทศ
รวมทั้งอัตราการใช้บริการของลูกค้าเมื่อเทียบกับความสามารถในการให้บริการของดาวเทียมที่บริษัทให้บริการภายใต้ใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคม ได้แก่ ดาวเทียมไทยคม 7 และไทยคม 8 อยู่ที่ระดับ 62% ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 4 ไตรมาสติดต่อกัน
บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 2/267 จำนวน 63 ล้านบาท ปรับตัวลดลงจากไตรมาส 1/2567 และไตรมาส 2/2566 เนื่องจากในไตรมาส 1/2567 บริษัทมีรายได้จากอัตราแลกเปลี่ยน และในไตรมาส 2/2566 บริษัทรับรู้รายได้ค่าชดเชยจากข้อพิพาทกับบริษัทคู่สัญญารายหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากกำไรจากการดำเนินงานซึ่งสะท้อนถึงผลการดำเนินงานหลักของธุรกิจที่ไม่รวมรายได้พิเศษพบว่ามีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีจำนวน 49 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 308% จากไตรมาส 1/2567 (QoQ) การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากรายได้จากการขายและการให้บริการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงถึงความสามารถของบริษัทในการตอบสนองต่อความต้องการของตลาดและการขยายฐานลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในไตรมาส 2/2567 หากพิจารณาเฉพาะธุรกิจด้านดาวเทียม บริษัทมีกำไรจากการดำเนินฐานที่ไม่รวมส่วนแบ่งกำไรขาดทุนจากธุรกิจโทรคมนาคมจำนวน 69 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่ากำไรจากการดำเนินงานปกติ 20 ล้านบาท สะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งของธุรกิจหลัก โดยเติบโต 30% จากไตรมาส 1/2567 (QoQ) จำนวน 53 ล้านบาท