‘รายใหญ่’ ปรับพอร์ตรับหุ้นไทยพุ่ง วัดกำลังปัจจัยหนุน ‘ดอกเบี้ยลด-กระตุ้นศก.-ฟันด์โฟลว์’

‘รายใหญ่’ ปรับพอร์ตรับหุ้นไทยพุ่ง วัดกำลังปัจจัยหนุน ‘ดอกเบี้ยลด-กระตุ้นศก.-ฟันด์โฟลว์’

‘รายใหญ่’ปรับพอร์ตรับหุ้นไทยพุ่ง วัดกำลังปัจจัยหนุน ‘ดอกเบี้ยลด-กระตุ้นศก.-ฟันด์โฟลว์’ ยกธีม “หุ้นใหญ่-โครงสร้างพื้นฐานในประเทศ” เด่นสุด จับตาผลเลือกตั้งสหรัฐชัดเจน

นับตั้งแต่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่ “แพทองธาร ชินวัตร” ปฏิกิริยาแรกตอบรับ คงไม่พ้น “ตลาดหุ้นไทย” ที่บรรยากาศการลงทุน “คึกคัก” !! สะท้อนภาพผ่านดัชนี SET INDEX ที่ทยอยปรับตัวขึ้นมาจากระดับ 1,289.84 จุด (16 ส.ค.2567) หรือปรับตัวขึ้นแล้วมากกว่า 100 จุดเลยทีเดียว ล่าสุดดัชนีหุ้นไทยอยู่ที่ (รอเติม)... จุด สอดคล้องกับทิศทางของ “นักลงทุนต่างชาติ” (ฟันด์โฟลว์) ที่หวนกลับมาซื้อหุ้นไทย บ่งชี้ผ่านสถานะนักลงทุนต่างชาติกลับมาเป็นพลิก “ซื้อสุทธิ” มูลค่า 29,435.78 ล้านบาท (ระหว่าง 1-19 ก.ย.) 

อีกหนึ่ง “พระเอก” ที่หนุนให้ตลาดหุ้นไทยพุ่ง !! คงต้องยกให้ “กองทุนวายุภักษ์ หนึ่ง” ที่คาดการว่าเม็ดเงินจะไหลมาสนับสนุนในประเทศไทยราวๆ 1.5 แสนล้านบาท และคาดว่าช่วงไตรมาส 4 ปี 2567 ยังจะมี “กองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน” (TESG) ที่น่าจะเข้ามาเติมเต็มให้ตลาดหุ้นไทยโดดเด่น และล่าสุดธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใช้ยาแรงในการปรับลดอัตรา “ดอกเบี้ย” ที่ 0.50% อีกหนึ่งแรงหนุนที่คาดฟันด์ไฟลว์จะไหลกลับ 

สารพัดปัจจัยบวกดังกล่าว ส่งผลให้ “นักลงทุนรายใหญ่” ปรับพอร์ตลงทุนเพื่อรับตลาดหุ้นไทย อาจจะกำลังเป็น “ขาขึ้น” อีกครั้ง !! โดย “กรุงเทพธุรกิจ” สอบถามมุมมองของนักลงทุนรายใหญ่ในตลาดหุ้นไทยพบว่า มีการปรับพอร์ตการลงทุนกันหลากหลายรูปแบบทั้งการปรับสัดส่วนของ “สินทรัพย์” โดยการขายสินทรัพย์ หรือซื้อสินทรัพย์เพิ่ม หรือบางรายก็ใช้กลยุทธ์แบบเดิมๆ

“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” นักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) หรือ “วีไอ” บอกว่า ในช่วงที่เหลือของปี 2567 แม้ตลาดหุ้นไทยจะเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายในประเทศ แต่ส่วนตัวแล้วยังคงไม่ได้มีการปรับพอร์ตเพิ่ม หรือ ลด หรือแม้แต่การขายออกแต่อย่างใด โดยพอร์ตลงทุนยังคงอยู่เหมือนเดิม เนื่องจากยังคงเฝ้ารอติดตามสถานการณ์ต่างประเทศ ที่ยังคงมีความร้อนแรงจากการเลือกตั้งของสหรัฐจึงทำให้มีการชะลอการลงทุนออกไปก่อน

ทั้งนี้ การเลือกตั้งสหรัฐยังคงเป็นประเด็นที่ยังคงต้องติดตาม ทำให้ตัดสินใจ “ยาก” หากการเลือกตั้งสหรัฐไม่เป็นไปตามที่คาดคิดไว้ คะแนนเสียงค่อนข้างสูสี ยิ่งในช่วงช่วงหลังเริ่มมีอุดมการณ์ขวาซ้ายชัดเจนมากขึ้นกว่าการเลือกตั้งในครั้งก่อน ๆ

โดยในครั้งนี้... โลกมีกระแสการยึดอุดมการณ์ทางการเมือง ขวารุ่นใหม่ ซ้ายรุ่นเก่า จึงทำให้ดูยาก หากเป็นสมัยก่อน เช่น “บารัค โอบามา” มีคะแนนของคนผิวสี พูดจาดีมีเสน่ห์ โต้วาทีเก่ง ทำให้ดูง่าย ขณะที่ปัจจุบันคนรู้สึกว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” อาจจะโตวาทีสู้ไม่ได้ แต่สุดท้ายคนก็จะเลือกทรัมป์ เพราะชื่นชอบในอุดมการณ์ ในประเด็นตรงนี้ก็เลยทำให้ต้องชะลอการลงทุนไว้ก่อน เพราะไม่รู้ว่า หลังจากการเลือกตั้งแล้วจะเป็นอย่างไร

“แม้ตลาดหุ้นขึ้นมา แต่ไม่มีการซื้อเพิ่ม หรือขาย หรือปรับพอร์ตแต่อย่างใด แต่ยังคงรอสถานการณ์ให้ชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ หุ้นโลกอีกไม่กี่เดือนอาจจะชี้อะไรได้มากขึ้น เพราะจะมีการเปลี่ยนแปลงเยอะ จึงต้องรอลุ้นก่อนว่าจะเป็นอย่างไร”

“ทิวา ชินธาดาพงศ์” นายกสมาคมนักลงทุนประเทศไทย หรือ “วีไอ” ให้มุมมองว่า ตลาดหุ้นไทยในรอบนี้มีการปรับตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งวิ่งไปตามกำไรบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 1 ปี 2567อยู่ที่ 269,000 ล้านบาท กำไรไตรมาส 2 ปี 2567 ออกมาประมาณ 260,000 ล้านบาท และคาดการณ์ในครึ่งหลังปี 2567 น่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นดีกว่านี้ หากเทียบกับปีที่ผ่านมา “ฐานค่อนข้างต่ำมาก” 

โดยในครึ่งหลังปี 2566 ที่ผ่านมา ใน 2 ไตรมาสสุดท้ายกำไรบจ. ประมาณ 460,000 ล้านบาท โดยคาดว่าในครึ่งปีหลังของปีนี้กำไรบจ. จะได้ประมาณ 550,000-580,000 ล้านบาท หรือโตเฉลี่ยที่ 20-28%

ทั้งนี้ หากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนออกมาในรูปข้างต้นที่คาดการณ์ไว้ บวกกับรัฐบาลมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจเหมือนที่นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ได้แถลงไว้ คาดว่าทิศทางการลงทุนจะกลับมาดีขึ้นได้

โดยมองว่า หุ้นกลุ่มใหญ่มีความน่าสนใจ แต่อาจจะได้น้อย ขณะที่หุ้นตัวเล็ก ๆ วิ่งช้า หรือวิ่งทีหลังแต่อาจจะปรับขึ้นเป็นเท่าตัวได้ แม้ที่ผ่านมาจะเห็นว่าหุ้นใหญ่ปรับขึ้นทุกวัน แต่อาจจะอยู่แค่ประมาณ 20-30% เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การคัดเลือกหุ้นต้องเลือกหุ้นที่มีความชื่นชอบ และมีความเข้าใจ และคาดว่าจะมีกำไรเติบโตเพิ่มขึ้นมาก ๆ หากนักลงทุนค้นหาหุ้นดังกล่าวเจอก็ไม่ต้องตามใคร ก็จะทำให้สบายใจในการถือหุ้นตัวนั้น ๆ ได้

สำหรับตลาดหุ้นที่มีการปรับขึ้นในรอบนี้ ยังไม่ได้มีการปรับพอร์ต และไม่ได้ตกรถ เนื่องจากมีการซื้อเพิ่มไปแล้วตั้งแต่ช่วงแบล็กมันเดย์ (Black Monday) ในวันสุดท้ายไปแล้ว !! โดยมีมุมมองว่า ต่างชาติจะมีการขายออกไปค่อนข้างมาก และในวันถัดไปต่างชาติกลับเข้ามาซื้อก็ถือเป็นจังหวะในการกลับเข้ามาซื้อเพิ่ม

“มานิตย์ ศรายุทธิกรณ์” นักลงทุนอิสระรายใหญ่บอกว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะ “ผ่านพ้นจุดต่ำสุด” ไปแล้ว เมื่อดูจากองค์ประกอบหลายอย่างจากกราฟเทคนิคมีสัญญาณกลับตัว ขณะที่การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ พร้อมนายกรัฐมนตรีคนใหม่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนไทยและต่างชาติด้วย

สังเกตได้ว่าเมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลพบว่ามี “เม็ดเงินต่างชาติ” ไหลเข้ามาเป็นจำนวนมากสะท้อนภาพในช่วงที่ผ่านมา “มูลค่าซื้อขาย” (วอลุ่มเทรด) แตะถึงระดับ “แสนล้านบาท” ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ไม่ได้เห็นกันนานกว่า 3 ปีแล้ว... ดังนั้นทำให้มั่นใจได้ว่า “ต่างชาติ” อาจจะมีโอกาสกลับเข้ามาตลาดหุ้นไทยแน่นอน

ขณะที่ “ค่าเงินบาท” ที่แข็งค่าขึ้นมาเร็วมองว่าทำให้ต่างชาติกลับเข้ามาซื้อหุ้นไทยมากขึ้น และกองทุนวายุภักษ์ได้มีการเปิดขายและมีเม็ดเงินเข้ามา 1.5 แสนล้านบาท ที่เข้ามาซื้อหุ้นขนาใหญ่พื้นฐานดี ซึ่งหากสังเกตในช่วงที่ผ่านมาหุ้นตกลงมาอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้ราคาต่ำกว่าราคาที่แท้จริง ซึ่งช่วงเดือนที่ผ่านมามีการซื้อกลับขึ้นไป และปัจจุบันยังสามารถลงทุนได้ เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังถูกที่สุดเมื่อเทียบกับตลาดต่างประเทศ

ทั้งนี้ เมื่อตลาดกลับมาฟื้นตัวได้มีการปรับพอร์ตเข้าไปลงทุนเพิ่ม แต่มีการลงทุนเพื่อ “กระจายความเสี่ยง” ไปยัง “หุ้นต่างประเทศ” ด้วย แต่ช่วงนี้ได้กลับมาโฟกัสที่ตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากเริ่มเห็นแสงสว่างที่เศรษฐกิจประเทศไทยจะกลับมาดีขึ้นผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปได้ และค่อนข้างมั่นใจ

“มีการปรับพอร์ตกระจายไปยังหุ้นขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มธนาคาร ท่องเที่ยว พลังงาน และโทรคมนาคม ซึ่งจะชอบการควบรวม GULF กับ INTUCH ที่ประกาศควบรวมกิจการ โดยคาดว่าจะผลักดันตลาดไปได้พอสมควร และกลุ่มที่ทำเกี่ยวกับดาต้าเซ็นเตอร์การจัดเก็บข้อมูลน่าจะเป็นธีมการลงทุนใหม่ของประเทศ และกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ เป็นธีมการลงทุนใหม่ของไทยเช่นกัน”

ดังนั้น แนะนำนักลงทุนว่า ในช่วงที่เหลือของปีควรจัดสรรพอร์ตลงทุน โดยกระจายการลงทุนใน “หุ้นตัวใหญ่” ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ไม่ว่าจะเป็น “กลุ่มธนาคาร กลุ่มพลังงาน กลุ่มท่องเที่ยว” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ควรมีติดพอร์ตไว้ รวมถึง “หุ้นตัวเล็กขนาดกลาง” ที่อาจจะเป็น “ม้ามืด” ที่สร้างผลตอบแทนได้มาก มองว่าควรมีติดพอร์ตไว้เช่นกัน รวมไปถึง “หุ้นเทิร์นอะราวนด์” แต่อาจจะลงทุนในสัดส่วนที่ไม่ได้เยอะมาก ซึ่งต้องมีการทำการบ้าน และวิเคราะห์ให้ลึกขึ้น