ขึ้นแท่นเครื่องยนต์ศก.เอเชีย โฟลว์ต่างชาติทะลักอินเดียแตะ 8.5 พันล้านดอลล์

ขึ้นแท่นเครื่องยนต์ศก.เอเชีย โฟลว์ต่างชาติทะลักอินเดียแตะ 8.5 พันล้านดอลล์

ฟันด์โฟลว์ต่างชาติทะลักอินเดีย Q3/67 แตะ 8.5 พันล้านดอลลาร์ จ่อขึ้นแท่นเครื่องยนต์เศรษฐกิจเอเชีย แม้นักวิเคราะห์แนะลดสัดส่วนหุ้นที่เชื่อมโยงกับนโยบายประชานิยมของโมดี

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานวันนี้ (21 ก.ย.) ว่า เงินทุนต่างประเทศไหลเข้า "ตลาดหุ้นอินเดีย" อย่างต่อเนื่องซึ่งถือเป็นการกลับมาของเม็ดเงินลงทุนในประเทศซึ่งมีขนาดตลาดหุ้น 5 ล้านล้านดอลลาร์ ครั้งแรกหลังจากหายไปเนื่องจากความไม่แน่นอนทางการเมืองจากการเลือกตั้งที่ผ่านมา

ข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก แสดงให้เห็นว่า ยอดซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 8.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งมีแนวโน้มจะเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางปี 2023 ด้วยการเดิมพันบนความต่อเนื่องของนโยบายหลังจากนายกรัฐมนตรี นาเรนดรา โมดี ชนะการเลือกตั้งเป็นสมัยที่สาม และน้ำหนักของอินเดียในดัชนีโลกบางแห่งพุ่งขึ้นเหนือกว่าตลาดหุ้นจีน และแนวโน้มการไหลเวียนเงินทุนดูมีแนวโน้มสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เริ่มลดอัตราดอกเบี้ย

ขึ้นแท่นเครื่องยนต์ศก.เอเชีย โฟลว์ต่างชาติทะลักอินเดียแตะ 8.5 พันล้านดอลล์ นักลงทุนต่างชาติแห่ซื้อหุ้นอินเดียแม้ราคาแพง

 

การเพิ่มขึ้นของเงินทุนไหลเข้ายังเป็นสัญญาณของความผ่อนคลายมากขึ้นของนักลงทุนที่มีต่อมูลค่าหุ้นของอินเดีย ซึ่งมีราคาแพงเมื่อเทียบกับคู่แข่งในตลาดเกิดใหม่และสถิติตย้อนหลัง เนื่องจากผลตอบแทนของดัชนี NSE Nifty 50 อยู่ในเทรนด์บวกติดต่อกัน 9 ปีซ้อน

"แม้จะมีมูลค่าที่สูงขึ้นแต่หุ้นอินเดียยังคงน่าสนใจเมื่อเทียบกับตลาดอื่นๆ ที่แนวโน้มการเติบโตลดลง" เจมส์ ชอ หัวหน้าเจ้าหน้าที่การลงทุนสำหรับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดียที่ HSBC Global Private Banking & Wealth ในสิงคโปร์กล่าว พร้อมเสริมว่า "เรื่องราวการเติบโตของอินเดียได้รับอานิสงส์จากผลการดำเนินจากของบริษัทจดทะเบียนและสภาวะเศรษฐกิจที่เอื้ออำนวย"

บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กเผยว่า อินเดียได้รับการยกย่องมากขึ้นว่าเป็นเครื่องยนต์ตัวต่อไปของการเติบโตโลกและเอเชียเนื่องจากเศรษฐกิจของจีนอ่อนแอลงท่ามกลางการขาดแรงจูงใจที่แข็งแกร่ง วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดว่า อินเดียจะกลายเป็นเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดอันดับสามของโลกภายในปี 2028 ขณะที่นักวิจัยจากบลูมเบิร์ก เผยว่า อินเดียสามารถเป็นผู้ผลักดันการเติบโตของจีดีพีโลกได้ในเวลานั้นเช่นเดียวกัน

ขณะที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของประเทศในเอเชียใต้ขยายตัว 6.7% จากปีที่แล้วในไตรมาสที่ผ่านมา แม้จะต่ำกว่าการคาดการณ์บางอย่าง แต่ก็ยังสูงกว่าตัวเลขของจีนที่ 4.7%

เดือนก.ย.ดูเหมือนจะเป็นเดือนที่สี่ติดต่อกันที่มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้าอินเดีย ชาวต่างชาติขายหุ้นมูลค่าประมาณ 1 พันล้านดอลลาร์ในไตรมาสเดือนเม.ย.-มิ.ย. แม้ว่าผลการเลือกตั้งในช่วงต้นเดือนมิ.ย.จะแสดงให้เห็นว่าพรรคของโมดีไม่สามารถชนะเสียงข้างมากได้ แต่ก็ได้รับการสนับสนุนเพียงพอจากพันธมิตรหลักในการจัดตั้งรัฐบาลผสมและกลับมาสู่อำนาจ

ขึ้นแท่นเครื่องยนต์ศก.เอเชีย โฟลว์ต่างชาติทะลักอินเดียแตะ 8.5 พันล้านดอลล์ ผลตอบแทนตลาดหุ้นอินเดียพุ่งเเซงหน้าหลายประเทศ

ดัชนี MSCI India เพิ่มขึ้น 7% ในไตรมาสนี้ (สกุลเงินดอลลาร์) ขณะที่ดัชนีหุ้นตลาดเกิดใหม่ในภาพรวมเพิ่มขึ้นประมาณ 2%

ตามข้อมูลที่รวบรวมโดยบลูมเบิร์ก พบว่า ผลตอบแทนหุ้นอินเดียอยู่ในช่วงปรับตัวขึ้นหกไตรมาสติดและมีมูลค่าสูงกว่าดัชนี MSCI Emerging Markets Index ถึงสองเท่าโดยดัชนี Nifty 50 ซื้อขายอยู่ที่ประมาณประมาณ 21 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ 18 เท่า

ตลาดไอพีโอโตดี

นอกจากนี้เงินทุนต่างประเทศก็ไล่ตามผลตอบแทนของตลาดหุ้นอินเดียที่ปรับตัวสูงขึ้นเช่นเดียวกันซึ่งเป็นตลาดที่คึกคักที่สุดของโลกสำหรับไตรมาสนี้ โดยบริษัทท้องถิ่นอินเดียได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวและทำให้มีการเสนอขายหุ้นเป็นครั้งแรกจำนวนมาก 

ด้านเดเวน ช็อคซีย์ กรรมการผู้จัดการของ KR Choksey Shares & Securities Pvt กล่าวว่า นักลงทุนที่เคยหนีออกจากตลาดหุ้นอินเดียเพื่อไปลงทุนในตลาดหุ้นจีนเพราะราคาถูกและระยะเวลาการลงทุนสั้นกำลังกลับมา พร้อมเสริมว่า "นักลงทุนที่ล้มเหลวจากการไปตลาดหุ้นจีนกำลังกลับมาในจุดที่มีการเติบโต"

ทั้งนี้ บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก เผยว่า เมื่อหุ้นยังคงปรับตัวขึ้น ค่าใช้จ่ายในการป้องกันความเสี่ยง (เฮดจ์) จากการลดลงของดัชนี Nifty 50 ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันสูงกว่าค่าเฉลี่ยของปีที่ผ่านมาประมาณ 45%

ผู้สังเกตการณ์ตลาดยังคงเฝ้าระวังสัญญาณนโยบายประชานิยมจากนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของอินเดีย เนื่องจากพรรคของโมดีประกาศแจกเงินสดในบางรัฐก่อนการเลือกตั้งระดับภูมิภาค

ขณะที่บริษัทที่ปรึกษาทางการเงินของกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งในอินเดียอย่าง Avendus Wealth Management Pvt. และ Julius Baer Wealth Advisors Pvt. กล่าวว่า ให้นักลงทุนลดการถือครองหุ้นที่เชื่อมโยงกับประชานิยมของโมดีเพื่อลงทุนในหุ้นที่ไม่อิงกับสถานการณ์มากเท่าไร (Defensive)

อย่างไรก็ตาม ณ ตอนนี้ อินเดียได้รับความนิยมในบรรดากองทุนทั่วโลกเนื่องจากค่าเงินมีเสถียรภาพเนื่องจากการแทรกแซงบ่อยครั้งของธนาคารกลางของประเทศทำให้สกุลเงินรูปีกลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่ผันผวนน้อยที่สุด

"การกลับมาของนักลงทุนต่างชาติแสดงให้เห็นว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทนแบบนี้ไม่สามารถถูกเพิกเฉยได้นาน" ซูเมต โรห์รา ผู้จัดการกองทุนที่ Smartsun Capital Pte ในสิงคโปร์กล่าว พร้อมเสริมว่า "น้ำหนักของอินเดียในดัชนี MSCI ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเช่นกัน"

อ้างอิง: Bloomberg