วัยแรงงานต้องรู้! อัปเดต กฎหมายแรงงานใหม่ล่าสุด ปี 2567

วัยแรงงานต้องรู้! อัปเดต กฎหมายแรงงานใหม่ล่าสุด ปี 2567

ปี 2567 เป็นปีที่มีการปรับปรุงและเสริมสร้างกฎหมายแรงงานเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและเท่าเทียมในการทำงาน ซึ่งมุ่งเน้นให้แรงงานได้รับการปกป้องและสวัสดิการที่ดีขึ้น

KEY

POINTS

  • กฎหมายแรงงานใหม่ปี 2567 เป็นกฎหมายที่มีความสำคัญในการปรับปรุงและป้องกันสิทธิแรงงานในสถานที่ทำงาน โดยมุ่งเน้นการเสริมความเป็นธรรม ความยุติธรรม และสวัสดิการของแรงงานในทุกด้าน
  • นโยบายกระทรวงแรงงาน จะนำไปสู่การพัฒนาทักษะฝีมือแรงงานชั้นสูง รองรับการจ่ายค่าจ้างตามความสามารถ ขยายโอกาสแรงงานไทยไปตลาดแรงงานโลก
  • สิทธิประโยชน์ที่ลูกจ้าง นายจ้างต้องรู้ เพื่อประโยชน์ของลูกจ้างจากการทำงาน ทั้งวันลา ค่าจ้าง เงินชดเชย เป็นต้น

ปี 2567 เป็นปีที่มีการปรับปรุงและเสริมสร้างกฎหมายแรงงานเพื่อให้เกิดความยุติธรรมและเท่าเทียมในการทำงาน ซึ่งมุ่งเน้นให้แรงงานได้รับการปกป้องและสวัสดิการที่ดีขึ้น

การปรับปรุงกฎหมายประกันสังคมในปี 2567 เป็นการกระทำที่มีผลสำคัญในการปรับปรุงสิทธิและสวัสดิการของประชาชน โดยเฉพาะในด้านการรักษาพยาบาลและการเพิ่มสิทธิสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีความพิการ

นโยบายกระทรวงแรงงานในปี 2567 มุ่งเน้นการสร้างสังคมแรงงานที่มั่นคงและยั่งยืน โดยการสนับสนุนการศึกษาและการอบรม เพื่อเพิ่มโอกาสในการทำงานและพัฒนาทักษะของแรงงาน การสร้างสภาพแวดล้อมทำงานที่มั่นคงและปลอดภัย และการสนับสนุนความเสมอภาคในที่ทำงาน การดำเนินงานตามนโยบายเหล่านี้จะส่งผลต่อการพัฒนาและความเป็นเลิศของแรงงานในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

ส่อง! ทักษะสุดฮอตของคนวัยทำงาน ปี 2025

"พิพัฒน์" ออกโรง การันตีจ่าย รพ.ประกันสังคม 12,000 บาทได้ตลอดปี

สรุปรวม! กฎหมายแรงงานใหม่ ปี 2567 

เริ่มด้วยกฎหมายแรงงาน — อัตราค่าแรงขั้นต่ำ โดยมีการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ ดังนี้

  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 370 บาท ได้แก่ ภูเก็ต
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 363 บาท ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 361 บาท ได้แก่ ชลบุรี และระยอง
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 352 บาท ได้แก่ นครราชสีมา
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 351 บาท ได้แก่ สมุทรสงคราม
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 350 บาท ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา สระบุรี ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 349 บาท ได้แก่ ลพบุรี
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 348 บาท ได้แก่ สุพรรณบุรี นครนายก และหนองคาย
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 347 บาท ได้แก่ กระบี่ และตราด
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 345 บาท ได้แก่ กาญจนบุรี ประจวบคีรีขันธ์ สุราษฎร์ธานี สงขลา พังงาจันทบุรี สระแก้ว นครพนม มุกดาหาร สกลนคร บุรีรัมย์ อุบลราชธานี เชียงราย ตาก และพิษณุโลก
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 344 บาท ได้แก่ เพชรบุรี ชุมพร และสุรินทร์
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 343 บาท ได้แก่ ยโสธร ลำพูน และนครสวรรค์
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 342 บาท ได้แก่ นครศรีธรรมราช บึงกาฬ กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด และเพชรบูรณ์
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 341 บาท ได้แก่ ชัยนาท สิงห์บุรี พัทลุง ชัยภูมิ และอ่างทอง
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 340 บาท ได้แก่ ระนอง สตูล เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี มหาสารคามศรีสะเกษ อำนาจเจริญ แม่ฮ่องสอน ลำปาง สุโขทัย อุตรดิตถ์ กำแพงเพชร พิจิตร อุทัยธานี และราชบุรี
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 338 บาท ได้แก่ ตรัง น่าน พะเยา และแพร่
  • จังหวัดที่มีอัตราค่าแรงขั้นต่ำ 330 บาท ได้แก่ นราธิวาส ปัตตานี และยะลา

นำร่องปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท กิจการโรงแรม

นอกจากนั้น มีการประกาศปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 400 บาท ประเภทกิจการโรงแรม เพื่อใช้สำหรับนายจ้างและลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการประเภทกิจการโรงแรมระดับ 4 ดาว ขึ้นไป และมีลูกจ้างตั้งแต่ 50 คน ขึ้นไป โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย. นำร่องในเขตพื้นที่ 10 จังหวัด ได้แก่ 

  • จังหวัดกรุงเทพฯ เฉพาะเขตปทุมวันและเขตวัฒนา
  • จังหวัดกระบี่ เฉพาะเขตองค์การบริหารส่วนตำบลอ่าวนาง
  • จังหวัดชลบุรี เฉพาะอำเภอเมืองพัทยา
  • จังหวัดเชียงใหม่ เฉพาะเขตเทศบาลเชียงใหม่
  • จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เฉพาะอำเภอหัวหิน
  • จังหวัดพังงา เฉพาะเขตเทศบาลตำบลคึกคัก
  • จังหวัดภูเก็ต
  • จังหวัดระยอง เฉพาะเขตเทศบาลตำบลเพ
  • จังหวัดสงขลา เฉพาะเขตเทศบาลหาดใหญ่
  • จังหวัดสุราษฎร์ธานี เฉพาะเขตเทศบาลเกาะสมุย

ปรับปรุงกฎหมายประกันสังคมในปี 2567

  • ปรับหลักเกณฑ์วิธีการ เงื่อนไข หรือสัดส่วนการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ (ฉบับที่ 6)
  • เปลี่ยนมาใช้ระบบการนำส่งเงินสมทบประกันสังคมทางอิเล็กทรอนิกส์
  • ปรับเพิ่มค่าคลอดบุตร ค่าตรวจครรภ์ และค่าฝากครรภ์
  • ปรับเพิ่มอัตราเงินค่าทำศพ และเงินสงเคราะห์กรณีตาย
  • ปรับหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของการขอรับสิทธิประโยชน์ต่างๆ เช่น กรณีประสบอันตราย หรือเจ็บป่วย, กรณีคลอดบุตร, กรณีสงเคราะห์บุตร, กรณีทุพพลภาพ, กรณีตาย, กรณีว่างงาน

เช็ก!จ่ายค่าจ้างในกฎหมายแรงงานปี 2567 

กฎหมายคุ้มครองแรงงานในเรื่องการจ่ายค่าจ้างกำหนดว่าลูกจ้างทุกคนจะได้รับเป็นเงินเท่านั้น หากเป็นลูกจ้างประจำจะได้รับค่าจ้างในวันหยุดด้วย เช่น วันหยุดตามประเพณี วันหยุดพักร้อน หรือวันหยุดประจำสัปดาห์ หรือถ้าเป็นลูกจ้างรายวันจะไม่ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ แต่จะได้รับค่าจ้างในกรณีที่ลาป่วย ลาไปทำหมัน ลาไปคลอดบุตร หรือลาไปรับราชการทหาร ส่วนค่า OT หรือค่าจ้างทำงานในวันหยุดจะต้องได้ไม่น้อยกว่า 3 เท่าของอัตราจ้างต่อชั่วโมง

การใช้แรงงานตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน

การใช้แรงงาน จะมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  • ควรทำงานไม่เกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน 
  • ภายใน 5 ชั่วโมงแรกของการทำงาน ต้องมีเวลาพักไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง อาจจะแบ่งเวลาพักเป็นครั้งละไม่น้อยกว่า 20 นาที แต่เวลาพักโดยรวมต้องไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง

การใช้แรงงานหญิง จะมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  • ห้ามลูกจ้างหญิงที่มีครรภ์ทำงานในช่วงเวลา 22:00 - 06:00 น. ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุด
  • ห้ามแรงงานหญิงทำงานที่เสี่ยงอันตราย เช่น งานในเหมืองแร่ งานก่อสร้างที่ต้องทำใต้ดิน ใต้น้ำ ในถ้ำ ในอุโมงค์ ในปล่องภูเขา หรืองานที่ต้องทำบนนั่งร้านสูงกว่าพื้น 10 เมตรขึ้นไป รวมถึงงานขนส่งวัตถุระเบิด วัตถุไวไฟ

การใช้แรงงานเด็ก จะมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

  • ห้ามจ้างเด็กอายุที่ต่ำกว่า 15 ปี มาเป็นลูกจ้าง
  • ลูกจ้างเด็กมีสิทธิฝึกอบรม โดยจะได้รับค่าจ้าง 30 วันด้วย
  • กรณีจ้างเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาเป็นลูกจ้าง นายจ้างต้องแจ้งต่อพนักงานตรวจแรงงานด้วย
  • ห้ามไม่ให้นายจ้างใช้ลูกจ้างเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานในช่วงเวลา 22:00 - 06:00 น.
  • ห้ามไม่ให้นายจ้างใช้ลูกจ้างเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานล่วงเวลา
  • ห้ามไม่ให้นายจ้างให้ลูกจ้างเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ทำงานที่เสี่ยงอันตราย เช่น งานหลอม หล่อ เป่า  หรือรีดโลหะ ทำงานในสถานที่เล่นการพนัน สถานที่เต้นรำ สถานที่ที่มีสุรา หรือเครื่องดื่มอื่นๆ จำหน่าย โดยที่มีลูกจ้างเป็นผู้บำเรอปรนนิบัติลูกค้า

สำหรับลูกจ้างทุกคนควรศึกษากฎหมายแรงงานเอาไว้ เพื่อป้องกันการโดนเอารัดเอาเปรียบจากนายจ้าง จะได้สามารถไปแจ้งที่กรมแรงงานเพื่อเอาผิดได้  ซึ่งกฎหมายแรงงานประกอบไปด้วย การจ่ายค่าจ้างที่ไม่ต่ำกว่าอัตราขั้นต่ำ เงินชดเชยกรณีถูกเลิกจ้าง สิทธิการใช้แรงงาน ทั้งแรงงานเด็กและหญิง สิทธิการลางาน เช่น ลากิจ ลาพักร้อน ลาป่วย ลาคลอด ลาไปทำหมัน หรือลาไปรับราชการทหาร เป็นต้น

เวลาพัก

  • ในวันที่มีการทำงานให้นายจ้างจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพักติดต่อกันไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง
  • ภายใน 5 ชั่วโมงแรกของการทำงาน
  • นาย จ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าให้มีเวลาพักน้อยกว่าครั้งละ 1 ชั่วโมง ก็ได้แต่ต้อง
  • ไม่น้อยกว่าครั้งละ 20 นาทีและเมื่อรวมกันแล้วต้องไม่น้อยกว่าวันละ 1 ชั่วโมง
  • กรณี งานในหน้าที่มีลักษณะต้องทำติดต่อกันไป หรือเป็นงานฉุกเฉินโดยจะหยุดเสียมิได้
  • นายจ้างจะไม่จัดเวลาพักให้ลูกจ้างก็ได้ แต่ต้องได้รับความยินยอมจากลูกจ้าง

เงินชดเชยกรณีเลิกจ้าง

กฎหมายคุ้มครองแรงงานในเรื่องการจ่ายเงินชดเชยกรณีเลิกจ้างมีการระบุว่า หากลูกจ้างไม่ได้กระทำความผิดใดๆ ตามกฎหมายแรงงาน นายจ้างจะต้องแจ้งให้ลูกจ้างรับทราบอย่างน้อย 30 วัน และจ่ายค่าชดเชยให้กับลูกจ้าง ดังนี้

  • ทำงานครบ 120 วัน: ต้องได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้าย 30 วัน
  • ทำงานครบ 1 ปี: ต้องได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้าย 90 วัน
  • ทำงานครบ 3 ปี: ต้องได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้าย 180 วัน
  • ทำงานครบ 6 ปี: ต้องได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้าย 240 วัน
  • ทำงานครบ 10 ปี: ต้องได้รับค่าชดเชยจากค่าจ้างสุดท้าย 300 วัน

การเลิกจ้างในกฎหมายแรงงาน

กฎหมายแรงงานในเรื่องการเลิกจ้างฉบับล่าสุด สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กรณี ดังนี้

  • การเลิกจ้างโดยไม่มีการจ่ายค่าชดเชย: กรณีที่ลูกจ้างกระทำความผิดตามกฎหมายอาญา หรือมีสัญญาการจ้างงานที่ระบุระยะเวลาเริ่มงานและสิ้นสุดงานที่ชัดเจนแล้ว
  • การเลิกจ้างโดยมีการจ่ายค่าชดเชย: กรณีที่ลูกจ้างมีสัญญาจ้างงานที่ชัดเจนและทำงานครบ 120 วันขึ้นไปแล้ว จะได้รับค่าชดเชยตามอัตราที่ระบุไว้ในกฎหมายแรงงาน4.

การจัดทำเอกสารในกฎหมาย

สำหรับรูปแบบการจ้างงาน มีทั้งงานประจำและไม่ประจำ ตามกฎหมายแรงงานฉบับล่าสุด ก่อนที่จะเริ่มงานควรมีการจัดทำเอกสารข้อตกลงให้เรียบร้อย โดยมีการระบุรายละเอียดสำคัญต่างๆ ดังนี้

ช่วงระยะเวลาที่เริ่มงานและระยะเวลาที่สิ้นสุดงาน

  • กรณีการทำงานล่วงเวลา
  • กรณีเรื่องการลา
  • ขอบเขตในการทำงาน
  • การจัดหาอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน

การทำงานที่บ้าน ต้องปฎิบัติอย่างไรบ้าง?

ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ในกรณีที่บางตำแหน่งงาน ไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศทุกวันก็สามารถนำงานกลับไปทำที่บ้านหรือทำนอกสถานที่ได้ เพื่อเพิ่มทางเลือกที่ยืดหยุ่นในการทำงานให้มากขึ้น อย่างไรก็ตามนายจ้างไม่สามารถบังคับให้ลูกจ้างทำงานที่บ้านได้ ต้องเกิดจากความสมัครใจของลูกจ้างด้วย รวมถึงต้องขึ้นอยู่กับการตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้างด้วย

สิทธิการเลิกงานที่ลูกจ้างควรรู้

ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้ว ลูกจ้างมีสิทธิที่จะปฏิเสธการติดต่อในเรื่องงานจากนายจ้าง ไม่ว่าจะกรณีไหนก็ตาม ยกเว้นกรณีที่ลูกจ้างนั้นให้ความยินยอม โดยต้องมีการเขียนสัญญาที่เป็นลายลักษณ์อักษรด้วยความสมัครใจด้วย

สิทธิการลาพักร้อน

ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน เมื่อลูกจ้างทำงานครบ 1 ปีแล้ว มีสิทธิได้รับวันลาพักร้อนอย่างน้อย 6 วันต่อปี โดยที่ยังคงได้รับค่าจ้างตามปกติ แต่บางบริษัทก็จะมีสวัสดิการให้วันลาพักร้อนที่มากกว่า 6 วันต่อปี เพื่อเป็นการดึงดูดผู้สมัครงานนั่นเอง

สิทธิการลาป่วย

ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ลูกจ้างจะได้สิทธิในการลาป่วยไม่เกิน 30 วันการทำงานต่อปี โดยที่ยังคงได้รับค่าจ้างตามปกติ แต่ถ้าหากลาป่วยเกิน 30 วัน ในวันที่ 31 จะไม่ได้รับค่าจ้าง หรือในกรณีที่ลาป่วยในวันทำงานติดๆ กันตั้งแต่ 3 วันขึ้นไป จะต้องมีใบรับรองแพทย์ หากไม่มีใบรับรองแพทย์จำเป็นต้องชี้แจงให้ทางนายจ้างรับรู้ด้วย แต่ถ้ากรณีที่ลูกจ้างเกิดป่วยและประสบอุบัติเหตุจากการทำงานจะไม่ถือเป็นการลาป่วย

สิทธิการลาคลอด

ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ลูกจ้างจะได้สิทธิในการลาคลอดบุตรไม่เกิน 98 วัน โดยจะรวมวันลาในการไปตรวจครรภ์ก่อนคลอด วันคลอด และระหว่างพักฟื้นหลังคลอดด้วย โดยระหว่างลาคลอดบุตร ลูกจ้างจะยังได้รับค่าจ้างจากประกันสังคม 45 วัน และจากนายจ้างอีก 45 วันด้วย

สิทธิการลากิจ

การลากิจ คือการลาไปทำธุระที่จำเป็นและตัวลูกจ้างจำเป็นต้องไปดำเนินด้วยตัวเอง คนอื่นไม่สามารถไปทำแทนได้ เช่น ไปทำบัตรประชาชน ใบขับขี่ ไปศาล ไปงานศพ (พ่อ แม่ พี่ น้อง สามี ภรรยา หรือลูก) ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับล่าสุด นายจ้างจะกำหนดวันลากิจกี่วันก็ได้ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 3 วันต่อปี หากลูกจ้างต้องการลามากกว่า 3 วันต่อปี สามารถลาแบบไม่รับค่าจ้างได้หรืออาจจะใช้ลาพักร้อนแทนก็ได้

สิทธิการลาไปทำหมัน

ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ลูกจ้างสามารถลาหยุดเพื่อไปทำหมันได้ตามระยะเวลาที่แพทย์แผนปัจจุบันชั้นหนึ่งกำหนด และออกใบรับรองแพทย์เพื่อให้ลูกจ้างยังมีสิทธิที่จะได้รับค่าจ้างในวันลานั้นด้วย

สิทธิการลาไปรับราชการทหาร

เพื่อฝึกวิชาทหารและทดลองความพร้อมของร่างกาย ตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน ลูกจ้างสามารถลาเพื่อไปรับราชการทหารได้  โดยจะได้รับค่าจ้างตลอดเวลาที่ลา สูงสุดไม่เกิน 60 วันต่อปี

วันหยุดประจำสัปดาห์

  • ต้องไม่น้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 วัน โดยมีระยะห่างกันไม่เกิน 6 วัน
  • ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดประจำสัปดาห์ (ยกเว้นลูกจ้างรายวัน รายชั่วโมงหรือตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย) 
  • นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้า กำหนดให้มีวันหยุดประจำสัปดาห์วันใดก็ได้ 
  • งาน โรงแรม งานขนส่ง งานในป่า งานในที่ทุรกันดาร (งานประมงงานดับเพลิง) งานอื่นตามที่กฎกระทรวงฯ กำหนด นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้า สะสมและเลื่อนวันหยุด
  • ประจำสัปดาห์ไปเมื่อไดก็ได้แต่ต้องอยู่ในระยะเวลา ไม่เกิน 4 สัปดาห์ติดต่อกัน
  • กรณีวันหยุดประจำสัปดาห์ ไม่แน่นอน ให้นายจ้างประกาศวันหยุดให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้า
  • ไม่น้อยกว่า 3 วันและแจ้งเป็นหนังสือให้พนักงานตรวจแรงงานทราบภายใน 7 วัน นับแต่วันที่ประกาศ

วันหยุดตามประเพณี

  • ต้อง ไม่น้อยกว่าปีละ 13 วัน โดยรวมวันแรงงานแห่งชาติด้วย ถ้าวันหยุด ตามประเพณี
  • ตรงกับวันหยุดประจำสัปดาห์ ให้หยุดชดเชยในวันทำงานถัดไป
  • ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดตามประเพณี

วันหยุดพักผ่อนประจำปี

  • ลูกจ้างซึ่งทำงานติดต่อกันมาครบ 1 ปี มีสิทธิหยุดพักผ่อนประจำปีไม่น้อยกว่าปีละ 6 วันทำงาน
  • ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างในวันหยุดพักผ่อนประจำปี
  • ถ้าลูกจ้างที่ทำงานยังไม่ครบ 1 ปี จะให้หยุดตามส่วนก็ได้
  • ให้นายจ้างเป็นผู้กำหนดวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้ลูกจ้างทราบล่วงหน้าหรือกำหนดตามที่ตกลงกัน
  • นายจ้างและลูกจ้างจะตกลงกันล่วงหน้าสะสมและเลื่อนวันหยุดพักผ่อนประจำปีไปรวมหยุดในปีอื่นก็ได้

การทำงานล่วงเวลา และการทำงานในวันหยุด

  • ในกรณีที่งานมีลักษณะต้องทำติดต่อกันไป ถ้าหยุดจะ เสียหายแก่งานหรือเป็นงานฉุกเฉิน นายจ้างอาจให้ลูกจ้าง ทำงานล่วงเวลา หรือทำงานในวันหยุดเท่าที่จำเป็นก็ได้
  • กิจการโรงแรม สถานมหรสพ งานขนส่ง ร้านขายอาหาร ร้านขายเครื่องดื่ม สโมสร สมาคม
  • สถานพยาบาล และกิจการอื่นตามที่กระทรวงจะได้กำหนดนายจ้างจะให้ลูกจ้างทำงานใน วันหยุดเท่าที่จำเป็นก็ได้ โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างเป็นคราวๆ ไป
  • ในกรณีที่มีการทำงานล่วงเวลาต่อจากเวลาทำงานปกติไม่น้อยกว่า สองชั่วโมง นายจ้าง ต้องจัดให้ลูกจ้างมีเวลาพัก ไม่น้อยกว่ายี่สิบนาที ก่อนที่ลูกจ้างเริ่ม ทำงานล่วงเวลา (ยกเว้นงานที่มีลักษณะหรือสภาพของงานต้องทำติดต่อกันไป โดยได้รับความยินยอมจากลูกจ้างหรือเป็นงานฉุกเฉิน)

ค่าล่วงเวลา ค่าทำงานในวันหยุดและค่าล่วงเวลาในวันหยุด

  • ถ้าทำงานเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงาน นายจ้างต้องจ่ายค่าล่วงเวลา ไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมงในวันทำงานตามจำนวน ชั่วโมงที่ทำหรือไม่น้อยกว่าหนึ่งเท่าครึ่งของอัตราค่าจ้างต่อหน่วย ในวันทำงานตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับ

ค่าจ้างตามผลงาน 

  • ถ้าทำงานในวันหยุดเกินเวลาทำงานปกติของวันทำงานนายจ้างต้องจ่าย ค่าล่วงเวลาในวันหยุดให้แก่ลูกจ้างในอัตราสามเท่าของอัตราค่าจ้างต่อชั่วโมง ในวันทำงานตามจำนวนชั่วโมงที่ทำหรือตามจำนวนผลงานที่ทำได้สำหรับ ลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย 
  • ถ้าทำงานในวันหยุดในเวลาทำงานปกติ นายจ้างต้องจ่ายค่าทำงานในวันหยุด ให้แก่ลูกจ้างที่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดเพิ่มขึ้นอีก 1 เท่าของค่าจ้าง ในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุด หรือตามจำนวนผลงานที่ทำได้ สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย สำหรับลูกจ้างที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างในวันหยุดต้องจ่ายไม่น้อยกว่า 2 เท่า ของค่าจ้างในวันทำงานตามชั่วโมงที่ทำงานในวันหยุดหรือตามจำนวนผลงาน ที่ทำได้สำหรับลูกจ้างที่ได้รับค่าจ้างตามผลงานโดยคำนวณเป็นหน่วย

อ้างอิง: กระทรวงแรงงาน ,jobsdb