คลี่ปม “สวัสดิการเด็กเล็ก” 5 เรื่องที่ไทยต้องจัดเพิ่ม
งานวิจัยชี้ “สวัสดิการเด็กเล็ก” ไม่ถ้วนหน้า - ไม่เพียงพอ ชงรัฐจ่ายเงินอุดหนุนเด็กแรกเกิด 0 - 2 ปีทุกคน - พ่อแม่ที่ลาออกมาเลี้ยงลูกแต่ทำงานอิสระให้สิทธิประกันสังคมม.33 - ผุดอาสาสมัครชุมชนดูแลเด็กหลังเลิกเรียนระหว่างรอพ่อแม่
KEY
POINTS
- สวัสดิการเด็กเล็กในประเทศไทยโดยเฉพาะกลุ่มยากจนเผชิญกับความเหลื่อมล้ำในการดูแล เช่น การเข้าถึงสุขภาพที่ดี สารอาหาร และโอกาสในการเรียนรู้
- ระบบสวัสดิการเด็กเล็กยังไม่ครอบคลุม ไม่เพียงพอ ขาดงบประมาณ และการบูรณาการระหว่างหน่วยงาน
- สวัสดิการเด็กเล็ก เสนอเพิ่ม 5 เรื่องสำคัญ รัฐจ่ายเงินอุดหนุนเด็ก 0-2 ปีทุกคน - พ่อแม่ที่ลาออกมาเลี้ยงลูกแต่ทำงานอิสระให้สิทธิประกันสังคม ม.33 - ผุดอาสาสมัครชุมชนดูแลเด็กหลังเลิกเรียนระหว่างรอพ่อแม่
ขณะที่ตัวเลขเด็กเกิดน้อยลงอย่างมากในประเทศไทย อยู่ที่ราว 5 - 6 แสนคนต่อปี จากที่เคยอยู่ที่ 1 ล้านคนต่อปี มีอัตราการเจริญพันธุ์รวมหรือจำนวนบุตรโดยเฉลี่ยต่อสตรี 1 คน จาก 1.6 ในปี 2560 เหลือ 1.1 ในปี 2566 และรัฐบาลพยายามขับเคลื่อนนโยบายส่งเสริมการมีบุตร
อีกทั้ง สวัสดิการเด็กในประเทศไทยจะมีจุดเด่น โครงการเงินอุดหนุนเด็กเล็ก ที่ช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรของครอบครัวที่มีรายได้น้อย และศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ที่มีการขยายจำนวนศูนย์พัฒนาเด็กเล็กทั่วประเทศ ทำให้เด็กเข้าถึงการศึกษา และพัฒนาการในช่วงวัยเด็กได้มากขึ้น
ทว่า เมื่อหันมามอง “สวัสดิการเด็กเล็ก” กลับยังพบช่องว่างที่ไม่สนับสนุนให้คนอยากที่จะมีลูก แม้ว่าจะมีการผลักดันเรื่องของ “เกิดน้อยแต่มีคุณภาพ” สวัสดิการเด็กเล็กในปัจจุบัน อาทิ
- เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด (แรกเกิด - 6 ปี) จัดสรรค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กในครอบครัวที่มีรายได้เฉลี่ยไม่เกิน 100,000 บาท/ปี โดยจะช่วยเหลือเป็นเงินให้กับผู้ปกครองจำนวน 600 บาท/เดือน ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงอายุ 6 ปี
- เงินสงเคราะห์เด็กในครอบครัวยากจน (แรกเกิด - 18 ปี, 20 ปี) ให้กับครอบครัวผู้มีรายได้น้อย และเดือดร้อนด้านการเงินจนไม่สามารถเลี้ยงดูเด็กได้ โดยจะได้รับเงินช่วยเหลือ 1000 บาท/คน/เดือน หากมีลูกสองคนขึ้นไปหรือมีสิทธิได้เงินสูงสุด 3,000 บาท/เดือน
สะท้อนสถานการณ์เด็กปฐมวัย
อย่างไรก็ตาม ภายในงานเสวนา Research Roundup 2024 "เปิดเส้นทางใหม่ นโยบายเด็ก และครอบครัวไทย" จัดโดยสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับศูนย์ความรู้นโยบายสาธารณะเพื่อการเปลี่ยนแปลง (101 Public Policy Think Tank, 101PUB) เมื่อเร็วๆ นี้
ดร.สัณห์สิรี โฆษินทร์เดชา คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำเสนองานวิจัยเรื่อง "ระบบสวัสดิการเด็กเล็กเพื่ออนาคต" ว่า สถานการณ์ของเด็กปฐมวัยได้รับความเหลื่อมล้ำในการดูแลเอาใจใส่ ทั้งเรื่องของสุขภาพที่ดี สารอาหารที่เพียงพอ สวัสดิภาพ และความปลอดภัย การเลี้ยงดูอย่างตอบสนอง รวมถึงโอกาสการเรียนรู้ในช่วงเริ่มต้น
“เด็กปฐมวัย 64% ที่อาศัยในครัวเรือนยากจนที่สุด ยิ่งมีปัญหามากกว่ากลุ่มอื่น เช่น ฝากครรภ์ต่ำกว่ากลุ่มอื่น น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ เตี้ยแคระแกร็น ผอมแห้งมากกว่า อ่านออกรู้จักตัวเลขน้อยกว่า ได้รับการดูแลสั่งสอนแบบที่ใช้ความรุนแรงทางกายหรือใจ เป็นต้น” ดร.สัณห์สิรี กล่าว
3ปัจจัยสวัสดิการเด็กเล็กเหลื่อมล้ำ
ปัจจัยสำคัญของความเหลื่อมล้ำมาจาก 1.ระบบสวัสดิการยังไม่ครอบคลุมถ้วนหน้า ไม่ยืดหยุ่น ไม่สะดวก และไม่เพียงพอ เช่น เงินอุดหนุนเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดเดือนละ 600 บาทต่อคน กำหนดเฉพาะกลุ่มคนจนที่มีรายได้เฉลี่ยต่อปีต่ำกว่าคนละ 1 แสนบาท ทำให้เกิดปัญหาตกหล่น ,มีช่องโหว่ในการดูแลเด็กเล็ก 0-2 ปี ที่ไม่มีหน่วยงานดูแลมากนัก,การส่งเสริมให้เด็กกินนมแม่อย่างน้อย 1 ปีค่อนข้างล้มเหลว เพราะขาดสวัสดิการลาคลอดที่เพียงพอ และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กของรัฐอยู่ไกลที่พัก ไม่สอดคล้องเวลาทำงานพ่อแม่ กระบวนการรับเข้ามีหลายขั้นตอน ขาดแคลนครู และพี่เลี้ยงเด็ก ศูนย์เด็กเล็กเอกชนในระบบมีราคาแพง ส่วนนอกระบบก็ไม่ถูกรับรองตามกฎหมาย
2.วาระเด็กเล็กเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง แต่กลายเป็นเรื่องไม่เร่งด่วน พบว่า งบประมาณด้านการศึกษาของไทยลดลงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2557 ในส่วนของการศึกษาระดับก่อนวัยเรียน ประถมศึกษาและมัธยมศึกษา
และ 3.ระบบราชการด้านเด็กปฐมวัย บูรณาการแต่ยากที่จะขับเคลื่อน แม้จะมีการขับเคลื่อนภายใต้คณะกรรมการนโยบายพัฒนาการเด็กปฐมวัย ที่มีสัดส่วนทั้งศึกษาธิการ สาธารณสุข พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และมหาดไทย แต่ไม่มีเจ้าของปัญหา ขาดหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับเด็กปฐมวัยเฉพาะเจาะจง การแก้ไขปัญหาทันท่วงทีต้องขอบูรณาการหลายหน่วยงาน ปัจจัยสำคัญอุปสรรคดูแลเด็กเล็ก
5 ข้อเสนอเพิ่มสวัสดิการเด็กเล็ก
ด้าน ผศ.ดร.ภาวิน ศิริประภานุกูล คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ข้อเสนอระบบสวัสดิการเด็กเล็กเพื่ออนาคตของงานวิจัย คือ 1.ต้องมีระบบแกนกลางตามแนวทางของออสเตรเลีย โดยรัฐบาลอนุมัติ และจ่ายเงินอุดหนุนให้กับผู้ให้บริการที่ดูแลเด็กจริงๆ ตามที่พ่อแม่หรือผู้ดูแลเด็กร้องขอ ให้สิทธิแก่เด็กเล็กอายุ 0-2 ปีทุกคนในประเทศไทย ,องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ออกใบอนุญาตและกำกับดูแลผู้ให้บริการ กำหนดเป้าหมายและบริหารทรัพยากรในพื้นที่เพื่อใช้ดูแลและพัฒนาเด็กเล็ก
2.เพิ่มผู้ดูแลเด็กในระบบ ซึ่งกลุ่มเด็กเล็กที่มีครัวเรือนฐานะไม่ดีมี 1 ล้านคน หากใช้มาตรฐานสัดส่วนผู้ดูแลเด็ก 1 คน ต่อเด็ก 3 คน จะต้องการครูผู้ดูแลเด็กเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 แสนคนหรือ 1 เท่าตัว การจะหามาระยะเวลาสั้นๆ จึงเป็นไปไม่ได้ ขณะที่พ่อแม่บางคนมีการลาออกมาดูแลลูก และทำงานนอกระบบหรือกิจการอิสระ
ก็ควรให้สิทธิประโยชน์พ่อแม่ หรือผู้ดูแลที่ต้องลาออกจากงานประจำมาให้การดูแลเด็กเล็กด้วยตนเอง ด้วยการจ่ายเงินให้พ่อแม่ที่ทำหน้าที่ดูแลเด็ก ให้สวัสดิการประกันสังคมมาตรา 33 เมื่อเด็กอายุ 3-4 ขวบ เข้าโรงเรียนอนุบาล จัดให้มีสวัสดิการช่วยฝึกทักษะการทำงาน รื้อฟื้นทักษะอาชีพ และหางานให้พ่อแม่
นอกจากนี้ มาตรฐานสถานพัฒนาเด็กปฐมวัยแห่งชาติต้องเพิ่มความยืดหยุ่น กรณีศูนย์เด็กเล็กนอกระบบที่ไม่เข้าเกณฑ์มาตรฐาน ไม่สามารถจดทะเบียนรับสวัสดิการต่างๆ ก็เอาศูนย์เหล่านี้เข้าระบบ โดยเพิ่มลักษณะของบุคลากรไม่ใช่เฉพาะครูที่ต้องจบปฐมวัยอย่างเดียว
3.การเพิ่มงบประมาณให้กับระบบ โดยจัดตั้งคณะกรรมาธิการเด็กปฐมวัยในรัฐสภา เพื่อเพิ่มน้ำหนักประเด็นการดูแลเด็กปฐมวัยให้มากขึ้นกับสมาชิกรัฐสภา และจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการพัฒนาเด็กปฐมวัย เพื่อเพิ่มความชัดเจนให้กับภาพรวมของงบประมาณในการดูแล และพัฒนาเด็กปฐมวัย เป็นแขนขาให้กับคณะกรรมการ นโยบายฯ รวมไปถึงขับเคลื่อนนโยบายการพัฒนาเด็กปฐมวัยของประเทศ
4.จัดทำระบบสนับสนุนการดูแลเด็ก เพิ่มการให้ความรู้ในการดูแลเด็กปฐมวัยเชิงรุกผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น พัฒนาการเลี้ยงดูเด็กผ่านการเยี่ยมบ้าน เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแล และพัฒนาเด็กปฐมวัยให้กับพ่อแม่ผู้ดูแล ให้ อปท.อบรมเพื่อกำหนดวุฒิปฐมวัย เพื่อให้กระจายการกำหนดวุฒิมากขึ้น
และ 5.ลดช่องว่างการดูแลเด็กในช่วงรอยต่อเวลาเลิกงาน เสนอจัดทำระบบอาสาสมัครในชุมชนเพื่อให้การดูแลเด็กในช่วงหลังเวลาศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก เช่น หลัง 4 โมงเย็น จนถึงช่วงเวลาที่ผู้ปกครองมารับ เพื่อเชื่อมรอยต่อที่ขาดไป และให้ อปท.ผลักดันให้เกิดศูนย์ดูแลเด็กปฐมวัยชั่วคราวในชุมชน
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์