10 วิธีป้องกัน "โรคกระดูกพรุน" ทำอย่างไร? ไม่ให้เป็นโรค
"โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)" เป็นปัญหาระดับชาติที่นับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้นจากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น รวมถึงภาวะของโรคผู้ป่วยจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นโรค เนื่องจากไม่พบอาการใดๆ จนกระทั้งล้มแล้วมีกระดูกหัก จึงรู้ว่าเป็นโรคดังกล่าวเข้าแล้ว
โรงกระดูกพรุน และ ภาวะกระดูกบาง (Osteopenia) คือ ภาวะที่ร่างกายมีความหนาแน่นของกระดูก (Bone Density) และคุณภาพของกระดูก (Bone quality) ที่ลดลง ส่งผลให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง ทำให้กระดูกหักง่ายขึ้น แม้เกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อย นำมาซึ่งภาวะทุพพลภาพทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจนเสียชีวิตได้
โดยสาเหตุหลักๆเกิดจากการสูญเสียมวลกระดูก ทำให้กระดูกเสียคุณสมบัติการรับน้ำหนัก กระดูกเปราะ หักง่าย บางคนอาจตัวเตี้ยลง (มากกว่า 3 เซนติเมตร) เนื่องจากกระดูกสันหลังโปร่งบางและยุบตัวลงช้า ๆ หรือบางคนมีอาการปวดหลังจากการล้มหรือยกของหนัก
พบได้บ่อยบริเวณกระดูกสันหลัง สะโพก หรือข้อมือ รวมทั้งยังสามารถเกิดได้กับกระดูกส่วนอื่นๆ ของร่างกายอีกด้วย ทั้งนี้โรคกระดูกพรุนเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะกระดูกหักหรือกระดูกสันหลังผิดรูปในสตรีสูงอายุ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เตือนภัยเงียบ ‘โรคกระดูกพรุน’ ปัญหาสาธารณสุข “โรคฮิตผู้สูงวัย”
เตรียมพร้อมอย่างไร? เมื่อเข้าสู่วัยทอง
เช็กสาเหตุเกิด "โรคกระดูกพรุน"
จากสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าโรคกระดูกพรุนเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขในลำดับที่ 2 ของโลก รองจากโรคหัวใจและโรคหลอดเลือด
โดยสอดคล้องกับข้อมูลของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนนานาชาติพบว่า ประชากรไทยที่มีความเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุน 80 – 90% ยังไม่ได้รับการประเมินและรักษา
โรคกระดูกพรุนถือเป็นภัยเงียบที่ไม่มีสัญญาณเตือนเมื่อเกิดร่วมกับกระดูกสะโพกหักจะมีอัตราการเสียชีวิตในปีแรกถึง 17 % และมีสัดส่วน 80% ที่ไม่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เหมือนเดิม
สาเหตุของโรคกระดูกพรุน
- การสูญเสียฮอร์โมนเพศหญิงเนื่องจากหมดประจำเดือน หรือวัยทอง เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยของการเกิดโรคกระดูกพรุน โดย 25% ของสตรีที่มีอายุมากกว่า 60 ปีมักพบว่าเป็นโรคกระดูกพรุน
- การที่สตรีหมดประจำเดือนเร็วหรือได้รับการผ่าตัดรังไข่ทิ้งก่อนอายุ 45 ปี
- อายุที่มากขึ้น โดยเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี กระดูกจะบางลงทุก 1-3% ทุกปี
นพ.ศรัณย์ จินดาหรา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ เผยว่า โรคกระดูกพรุนเกิดได้จาก 2 สาเหตุหลักใหญ่ คือ ปริมาณมวลกระดูกที่สะสม (Peak bone mass) ไว้มีน้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือ มีการสลายของกระดูกมากกว่าปกติ
โดยปกติแล้วมวลกระดูกนั้นจะเพิ่มสูงสุดอยู่ในระหว่างช่วงอายุ 30 - 34 ปี หลังจากนั้นจะมีการสูญเสียของมวลกระดูกอย่างค่อยเป็นค่อยไป ในสตรีเมื่อถึงวัยหมดประจำเดือนจะมีการสูญเสียมวลกระดูกอย่างรวดเร็วในระยะ 5 ปีแรกและลดลงอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ กระดูกของเด็กในวัยนี้จะแข็งแรงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับอาหารเป็นสำคัญ เพราะจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของร่างกายรวมถึงมวลกระดูก โดยเฉพาะปริมาณของแคลเซียมที่รับประทานเข้าไปมีความสำคัญมากต่อมวลกระดูกและการเจริญเติบโตของกระดูก
อาการที่พบบ่อยเมื่อเข้าข่ายโรคกระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน ได้ชื่อว่าเป็น “มฤตยูเงียบ” เนื่องจากส่วนใหญ่ไม่มีอาการ กว่าจะรู้ว่าเป็นโรคกระดูกพรุนก็ต่อเมื่อกระดูกหักเสียแล้ว ส่วนอาการที่พบได้คือ
- ปวดหลัง ซึ่งเกิดจากกระดูกบางมาเป็นเวลานาน
- อาการปวดจะรุนแรงมากขึ้นเมื่อมีกระดูกสันหลังยุบตัว
- ทำให้หลังค่อมและเตี้ยลงได้
- นอกจากกระดูกสันหลังแล้ว กระดูกอื่น ๆ ที่ถูกทำลายมาก คือ ข้อมือและสะโพก
ปัจจัยเสี่ยงร่วมที่ทำให้เกิดโรคกระดูกพรุน
- มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
- ชาวผิวขาวหรือเชื้อชาติชาวเอเชีย
- ขาดวิตามินดีหรือแคลเซียม
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นประจำ
- สูบบุหรี่
- น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วเนื่องจากโหมออกกำลังกายหรืออดอาหาร
- ใช้ยาสเตียรอยด์เกินขนาด
- ภาวะฮอร์โมนไม่สมดุล เช่น โรคต่อมไทรอยด์
- เป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคตับ โรคทางเดินอาหารผิดปกติ
ทั้งนี้ ความเสี่ยงเมื่อกระดูกสะโพกหักจากโรคกระดูกพรุน
- 20% มักเสียชีวิตภายใน 1 ปี
- 30% พิการถาวร
- 40% ต้องใช้เครื่องช่วยพยุงในการเดิน
- 80% ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้เหมือนก่อนกระดูกหัก
กระดูกหักจากภาวะกระดูกพรุน มีอันตรายสูงมาก ควรป้องกันและรักษาภาวะกระดูกพรุนทันทีเมื่อทราบ
เด็กแต่ละช่วงวัยควรรับปริมาณแคลเซียมอย่างไร?
อย่างที่กล่าวข้างต้น กระดูกพรุน สามารถเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ถึงแม้ส่วนใหญ่จะเกิดในกลุ่มผู้สูงอายุ แต่ทุกวัยก็ต้องป้องกันไม่ให้เกิดโรคดังกล่าว ปริมาณแคลเซียมที่ควรได้รับในแต่ละวัย จะแตกต่างกันออกไปดังนี้
เด็ก 6 เดือนแรก ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 400 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กอายุ 6 เดือน -1 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 600 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กอายุ 1-3 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 700 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กอายุ 4-8 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
เด็กอายุ 9-18 ปี ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,300 มิลลิกรัมต่อวัน
ทั้งนี้อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากและดูดซึมได้ดี คือ นมหรือผลิตภัณฑ์จากนม (นม 1 กล่อง ปริมาณ 250 ซีซี ให้แคลเซียม 300 มิลลิกรัม) อาหารอื่นๆ ที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ กุ้งแห้ง ปลาเล็กปลาน้อย เต้าหู้ ผักที่มีแคลเซียมสูง เช่น คะน้า ตำลึง ผักกระเฉด ขี้เหล็ก ดอกแค สะเดา
10 ป้องกันกระดูกพรุนในกลุ่มผู้สูงอายุ
1.รับประทานอาหารให้ครบทุกหมู่ โดยเฉพาะแคลเซียมและวิตามินดี ซึ่งแคลเซียม ที่ร่างกายต้องการอาจแตกต่างในแต่ละวัย และสภาวะร่างกาย ดังนี้
- อาหารที่มีปริมาณแคลเซียมมากได้แก่ ผักใบเขียว เช่น ผักคะน้า บรอกโคลี นมและผลิตภัณฑ์ของนม ปลาซาร์ดีนพร้อมกระดูก ปลาตัวเล็ก ๆ พร้อมกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง งาดำ กะปิ เป็นต้น
- ส่วนวิตามินดี ร่างกายต้องการ วันละ 400-800 หน่วย
2.งดสูบบุหรี่
3.หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์รวมถึงสารคาเฟอีน เนื่องจากมีผลทำลายกระดูก
4.ตรวจร่างกายเป็นประจำ โดยเฉพาะเมื่ออายุมากกว่า 50 ปีควรเข้ารับการตรวจวัดกระดูกเพื่อป้องกันการเสื่อมแต่เนิ่นๆ
5.ขณะที่ในกลุ่มของผู้หญิงในวัยทองควรดูแลตัวเองให้มากกว่าปกติ
6.ควรลดความเครียด รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น ถั่วแดง ผักคะน้า ฯลฯ ซึ่งเป็นสารหลักในการสร้างเนื้อกระดูก
7.ผู้หญิงที่หมดประจำเดือน การเสริมแคลเซียมไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรง แต่ช่วยยับยั้งการเสื่อมสลายของกระดูก
8.ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อาทิตย์ละ 2 – 3 ครั้ง ๆ ละ 1 ชั่วโมง จะช่วยลดการสลายของแคลเซียมจากกระดูก
- ออกกำลังกายแบบลงน้ำหนัก(Weight Bearing Exercise) และอแบบเพิ่มแรงต้านอย่างสม่ำเสมอ (Resistant Exercise) โดยใช้เท้าและขา หรือมือและแขน ในการรับน้ำหนักของตัวเอง เช่น การเต้นแอโรบิก ฟุตบอล บาสเกตบอล แบดมินตัน วิ่ง หรือการเดิน
9.การได้รับปริมาณแคลเซียมอย่างเพียงพอและเหมาะสม ตามคำแนะนำของมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2564 มีดังนี้
- สำหรับผู้ใหญ่ที่มีอายุมากกว่า 50 ปี และหญิงวัยหมดประจำเดือน ควรได้รับปริมาณแคลเซียม 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน โดยเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง
- ไม่แนะนำให้รับประทานแคลเซียมมากกว่า 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งรวมทั้งแคลเซียมจากอาหารและแคลเซียมเสริม สำหรับผู้ป่วยที่มีประวัตินิ่วในไต ควรได้รับการประเมินสาเหตุของการเกิดนิ่ว ส่วนประกอบของนิ่วก่อนให้แคลเซียมเสริม
10.พยายามป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจากการหกล้ม
อ้างอิง: โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล ,โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ ,โรงพยาบาลเอส สไปน์ แอนด์ เนิร์ฟ