ปวดประจำเดือนแบบไหน? ปกติ VS ผิดปกติที่สาวๆ ควรรู้
เมื่อวันนั้นของเดือนมาถึง ผู้หญิงหลายคนมักจะมีอาการปวดท้องประจำเดือนจนเหมือนเป็นเรื่องปกติ และหลายคนก็มีวิธีบรรเทาอาการปวดแตกต่างกันออกไป
KEY
POINTS
- การปวดท้องประจำเดือนแบบปกติก็มีอยู่เช่นกัน แต่การปวดท้องประจำเดือนแบบผิดปกติสามารถนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตหรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายได้
- อาการปวดประจำเดือนปกติ กับผิดปกตินั้นแตกต่างกัน สาวๆ ต้องสังเกตอาการของตัวเอง และหากมีอาการผิดปกติต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว
- การป้องกันและบรรเทาอาการปวดประจำเดือน สามารทำได้ง่ายๆ อาทิใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องน้อยและหลัง อาบน้ำอุ่น รับประทานยา พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกาย และรับประทานผักและผลไม้
เมื่อวันนั้นของเดือนมาถึง ผู้หญิงหลายคนมักจะมี อาการปวดท้องประจำเดือน จนเหมือนเป็นเรื่องปกติ และหลายคนก็มี วิธีบรรเทาอาการปวดประจำเดือน แตกต่างกันออกไป บางคนอาจใช้เพียงกระเป๋าน้ำร้อนบรรเทาอาการปวด หรือบางคนกินยาระงับอาการปวดประจำเดือน แต่มีบางคนอาการปวดประจำเดือนนั้นทรมานมากจนไม่สามารถขยับตัวได้
แล้วอาการปวดประจำเดือนที่สาวๆ เป็นกันอยู่นั้น อาจจะถูกมองว่าเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ตามธรรมชาติ หรือว่ากำลังมีความผิดปกติที่ซ่อนอยู่กันแน่ วันนี้เรามีข้อสังเกตที่อยากให้ลองเช็กกันดูค่ะ
ประจำเดือนคือเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับผู้หญิงทุกเดือน ซึ่งในแต่ละคน รายละเอียดของการมีประจำเดือนก็แตกต่างกัน โดยเฉพาะการปวดท้องประจำเดือนแต่เคยสงสัยไหมว่าแล้วปวดท้องแบบไหนกันที่เรียกว่าปกติ และแบบไหนคือผิดปกติและควรไปพบแพทย์โดยเร็ว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
เช็กอาการปวดประจำเดือน แบบไหนปกติ หรือผิดปกติ
อาการปวดท้องประจำเดือนปกติ มีดังนี้
- ปวดใน 48 - 72 ชั่วโมงช่วงที่มีประจำเดือน และอาการหายไปหลังเป็นประจำเดือน
- ปวดบีบหรือหน่วงที่ท้องน้อย
- เริ่มปวดจากอุ้งเชิงกรานร้าวไปหลังหรือต้นขา
- อาจมีอาการคลื่นไส้ ถ่ายเหลว หรืออ่อนเพลีย
- ตรวจภายในไม่พบความผิดปกติ
อาการปวดประจำเดือนที่ผิดปกติ มีดังนี้
- ปวดท้องเหมือนมีประจำเดือน แม้ตอนไม่มีประจำเดือน
- ปวดท้องจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้
- กินยาแก้ปวดจำนวนมาก หรือต้องฉีดยาแก้ปวดทุกเดือน
- กินยาแก้ปวดแล้วอาการปวดท้องไม่ทุเลา
- ประจำเดือนมามากขึ้นหรือมาผิดปกติร่วมกับอาการปวดท้อง
- เจ็บช่องคลอดหรือปวดท้องขณะมีเพศสัมพันธ์
- ปวดท้องจนอาเจียน เป็นลม วิงเวียนศีรษะ หรือมีไข้สูง
- ปวดท้องรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกเดือน
- ตรวจภายในพบความผิดปกติ
หากใครที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนดังกล่าว ต้องรีบไปพบหรือปรึกษาแพทย์โดยเร็ว
อาการผิดปกติจะรู้ได้อย่างไร?
นพ. มฆวัน ธนะนันท์กูล แพทย์สาขาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา โรงพยาบาลสมิติเวช กล่าวว่าการปวดท้องประจำเดือนแบบปกติก็มีอยู่เช่นกัน แต่การปวดท้องประจำเดือนแบบผิดปกติสามารถนำไปสู่อันตรายถึงชีวิตหรือเป็นสัญญาณของโรคร้ายได้ การปวดท้องประจำเดือนแบบผิดปกติอาจเป็นตัวบ่งบอกถึงโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะอักเสบในอุ้งเชิงกราน หรือเนื้องอกในมดลูก เป็นต้น ในบางกรณีคุณผู้หญิงบางคนไม่ตระหนักว่าอาการปวดท้องของตนเองผิดปกติจนกระทั่งสายเกินไป
การปวดท้องประจำเดือนของตนเองผิดปกติ? คุณสามารถสังเกตได้ง่ายๆ หากมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดท้องแม้ตอนไม่มีประจำเดือน ปวดท้องช่วงก่อน-หลังประจำเดือนมา หรือปวดท้องแบบเดิมเกือบตลอดทั้งเดือน
- ปวดท้องจนไม่สามารถทำอะไรได้ การปวดท้องประจำเดือนส่วนใหญ่เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าคุณผู้หญิงปวดมากจนไม่สามารถลุกทำอะไรได้ นอนตัวงอเป็นกุ้ง หรือต้องกินยาแก้ปวดอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าการปวดท้องนี้ไม่ธรรมดาซะแล้ว
- ปวดท้องจนลามไปถึงส่วนอื่นๆ ของร่างกาย เช่น ขา ทวารหนัก แขน ไหล่ หลัง ฯลฯ
- มีอาการปวดท้องหรือเจ็บปวดระหว่างการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่
- มีอาการท้องเสีย ท้องร่วง หรือท้องอืดอย่างรุนแรง ก่อน หลัง หรือระหว่างมีประจำเดือน
- ปวดท้องจนอาเจียน เป็นลม หรือวิงเวียนศีรษะ
- ปวดท้องจนเป็นไข้สูง
- ปวดท้องมากจนต้องไปฉีดยาแก้ปวดทุกครั้งที่มีประจำเดือน
- มีอาการปวดท้องประจำเดือนทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกเดือน
- ปวดท้องประจำเดือนและมีบุตรยาก
คุณผู้หญิงทุกคนควรสังเกตอาการปวดท้องประจำเดือนของตัวเองกรณีพบว่าตนเองมีความผิดปกติ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาทันทีหรือถ้าหากคุณผู้หญิงไม่มีอาการผิดปกติใดๆ แต่ยังคงระแวงหรือเป็นกังวลอยู่ก็สามารถเข้าตรวจร่างกายได้เช่นกัน
สาเหตุของการปวดประจำเดือน
โดยเฉลี่ยทุกๆ 28 วัน หากไข่ไม่มีอสุจิมาผสม เยื่อบุโพรงมดลูกจะหลุดลอกออกมาเป็นประจำเดือน อาการปวดประจำเดือนเกิดจากสารที่ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมน ชื่อว่า โพรสตาแกลนดิน (prostaglandin) ซึ่งก่อตัวขึ้นที่เยื่อบุโพรงมดลูกระหว่างมีประจำเดือน โพรสตาแกลนดินทำให้กล้ามเนื้อบีบตัวและหดเกร็งคล้ายกับอาการเจ็บปวดขณะคลอดบุตร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องเสีย หากร่างกายหลั่งสารนี้ในปริมาณมากจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของอาการบีบรัด ทำให้รู้สึกปวดประจำเดือนยิ่งขึ้น
ป้องกันและบรรเทาอาการปวดประจำเดือน
หากมีอาการปวดประจำเดือน ผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาตัวเองได้โดย
- ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบท้องน้อยและหลัง
- อาบน้ำอุ่น
- ใช้เทคนิคการผ่อนคลาย เช่น โยคะหรือนั่งสมาธิ
- รับประทานยาต้านการอักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์ (NSAIDs) ควรรับประทานเมื่อเริ่มมีอาการปวดหรือก่อนมีอาการปวด การรับประทานยาแก้ปวดอาจมีผลข้างเคียง ดังนั้นควรใช้เมื่อมีอาการปวดอย่างรุนแรงเท่านั้น
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รับประทานผักและผลไม้ ลดปริมาณอาหารที่มีไขมัน เกลือ เครื่องดื่มผสมคาเฟอีน เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และขนมหวาน
เมื่อมีอาการปวดประจำเดือนอย่างผิดปกติ อย่าปล่อยไว้ หรือมองข้าม เพราะความผิดปกติที่ว่าอาจมีที่มาจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ดังนั้นรีบพาตัวเองมาพบแพทย์และตรวจวินิจฉัยสาเหตุ เพราะสุดท้ายคงไม่มีใครอยากให้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเราทุกเดือน
อ้างอิง : โรงพยาบาลสมิติเวช ,โรงพยาบาลวิมุต ,โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์