“นนท์-ธนนท์” คนไม่เคยปฏิเสธ
“เราแค่ทำมันให้ดีที่สุด เราซื่อสัตย์ แต่เราไม่ได้เรียกร้อง
ผมทำตัวเองให้ดี ถ้าผมเหมาะ คุณค่าเทียบเท่า แล้วสิ่งที่คู่ควรมันจะมาหาเราเอง”
เวทีประกวดถือว่าเป็นช่องทางโชว์ความสามารถของตนเองได้อย่างถ่องแท้ และหลายคนที่ต้องการเข้าสู่วงการบันเทิงก็มักจะเลือกเดินเข้าประตูนี้ เพราะมีครบทุกสาขาบันเทิง ไม่ว่าจะเป็นเวทีการประกวดความงาม เวทีประกวดการแสดง เวทีการประกวดนางแบบ เวทีประกวดศิลปินตลก แต่ที่เราเห็นกันจนคุ้นชินจนกดรีโมทดูแทบไม่ทันนั่นก็คือเวทีการประกวดร้องเพลง
ในยุคที่รายการประกวดร้องเพลงเกิดขึ้นแทบทุกวัน ถึงแม้ว่าคุณจะได้เป็นที่หนึ่งในเวทีนั้นๆ แต่คุณอาจไม่ได้เป็นที่ 1 ในใจคนดูตลอดไปนี่แหละจึงเป็นคว่ามแตกต่างที่จะพิสูจน์เส้นทางในวงการบันเทิงว่าคุณจะสามารถอยู่ได้รอดนานขนาดไหน
“นนท์-ธนนท์ จำเริญ” แชมป์จาก The Voice Thailand Season 1 เป็นถือว่าเป็นอีกหนึ่งหนุ่มที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่ได้มีดีแค่การร้องเพลง 5 ปี ในวงการบันเทิงสำหรับ นนท์ ถือว่าเป็นเวลาที่สั้นมากถ้าเทียบกับดาราศิลปินที่ยืนหยัดอยู่ในวงการ แต่เขาก็ได้ชิมลางงานหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น นักแสดง นายแบบ เดินแบบ ด้วยเหตุผลที่ นนท์ ได้เล่าให้เราฟังว่า เขาเริ่มทำงานตั้งแต่ 7 ขวบ ตั้งแต่ร้องได้ชั่วโมงละ 100 – 200 บาท กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก เขาจึงไม่เคยทิ้งโอกาสที่ทุกคนหยิบยื่นให้กับเขา
“เราไม่รู้อะไรเลยเรายิ่งต้องทำ เราไม่มีอะไรจะเสีย มนุษย์มักกลัวในสิ่งที่เราไม่รู้จัก แต่สำหรับผม ผมมองว่าในเมื่อเราไม่รู้ เรายิ่งต้องทำให้รู้ก่อนแล้วค่อยกลัว ถ้ามันน่ากลัวจริง คุณพ่อ คุณแม่บอกกับผมเสมอว่าอย่าเลือก และอย่าปฏิเสธ เราไม่มีทางรู้เลยว่าจะคุ้มค่ากับเราไหม แต่เชื่อเถอะทุกสิ่งทุกอย่างสามารถต่อยอดได้ทั้งนั้นแหละ บางทีงานนั้นอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่มันจะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับเราให้เราไม่พลาดแบบนี้อีกครั้ง หรือถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้เราจะสามารถผ่านมันไปได้อย่างไร”
ถึงแม้ว่า นนท์ จะผ่านเรื่องราวมามากมาย ถ้าเทียบกับเด็กในรุ่นราวคราวเดียวกัน ก็นับว่าหนักพอสมควรแต่นั่นไม่ได้ทำให้ความซื่อสัตย์ในเสียงดนตรีลดน้อยลงไปเลยแม้แต่นิด แต่กลับเป็นแรงผลักดันชั้นดีที่ทำให้นนท์เดินหน้าต่อไป
“ผมไม่เคยมีวันเด็กเลย จำได้ตอน 7 ขวบ ก็ร้องเพลงหาเงินแล้ว ไม่กล้าไปเล่นตามซุ้ม เพราะเวลาขึ้นร้องเพลงเราต้องแต่งหน้าเพื่อนๆก็ล้อ ตอนนั้นผมก็รู้สึกเศร้าตามประสาเด็กที่ไม่ได้วิ่งเล่นอย่างใครเขาแต่พอเรามองกลับไป นั้นคือรากฐานที่ดี ที่เราได้เริ่มทำอะไรเร็วกว่าคนอื่นๆ ผมมองว่ามันคือค่าใช้จ่ายที่ต้องยอมเสีย เพื่อให้ได้อีกสิ่งหนึ่งมา ผมรู้สึกขอบคุณตลอดเวลาที่ในวันนั้นเราไม่ยอมแพ้ เราซื่อสัตย์กับอาชีพนี้มาโดยตลอด และยังเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน
....มีช่วงหนึ่งเคยคุยกับแม่ว่า เอารางวัลไปคืนเขากันไหม แล้วเรากลับบ้านกัน คืนให้หมดเลย ทั้งเงิน ทั้งรถ ทั้งถ้วย คืนทุกอย่าง รอให้อายุมากขึ้นหรือพร้อมกว่านี้ค่อยมาทำ แต่พอเช้าวันรุ่งขึ้นเราก็ลุกไปทำงานตามปกติ มันทำให้ผมได้คิดว่าพูดอะไรออกไป สิ่งที่เราทำอยู่ตอนนี้มันเป็นสิ่งที่ใครหลายคนแสวงหา เราได้มันมาแล้ว เราต้องทำให้ดีที่สุดในหน้าที่ของเราในอาชีพที่เรารักและซื่อสัตย์มาโดยตลอด”
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้นนท์มีผลงานใหม่ๆออกมาให้แฟนคลับได้รับชมอยู่เสมอ และผลงานล่าสุดกับศาสตร์การแสดงที่นนท์ไม่เคยทำมาก่อนนั้นก็คือ ละครเวที “สี่แผ่นดิน เดอะมิวสิคัล 2560” การแสดงบทบาทใหม่ที่หลายคนอาจจะคิดว่าก็แค่นำการแสดงและการร้องมารวมกัน คนที่เป็นนักแสดงหรือนักร้องคงทำได้สบายอยู่แล้ว แต่สำหรับนนท์ เขามองว่ามันเป็นความบันเทิงในรูปแบบคล้ายๆ กันก็จริงแต่มันไม่เหมือนกันซะทีเดียว ละครเวที ต่างจากการร้องธรรมดาเยอะ มันอาจจะเป็นวิชาเดียวกันแต่มันคนละหน่วยกิจ ที่มีความเฉพาะทาง ทั้ง ร้อง เล่น เต้น แสดง และต้องจำยาวมาก นี่จึงเป็นความท้าทายใหม่ที่เขาเพิ่งรับมาปฏิบัติ
“โชคดีที่ผมได้ยินเคยรู้โครงเนื้อเรื่องนี้มาก่อน เพราะเป็นครั้งแรกที่ผมมีโอกาสมาแสดงละครเวที ตอนนี้ผมซ้อมหนักมากและต้องรีบพัฒนาให้ทันคนอื่น เพราะนักแสดงคนอื่นส่วนมากจะมาจากซีซั่นที่แล้ว ผมมาแบบไม่รู้อะไรเลย ต้องปรับเยอะมาก วันที่มีคนชวนให้ไปคัดเลือกนักแสดง ผมก็ไปแบบไม่คาดหวังนะ แต่ก็ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมเสมอในทุกๆโอกาส ผมรู้แค่ว่าบทนี้ดี และในวันนั้นคนที่มาเคสทุกคนมีประสบการณ์แสดงหมดเลย มีเราแค่คนเดียว ที่ไม่มีพื้นฐานด้านนี้เลย วันที่รู้ว่าได้เล่นละครเวที ผมเครียดเลยนะ เพราะนี่คือบทที่ดีและใหญ่มากสำหรับผม ฉะนั้นการที่จะถ่ายทอดออกมาให้ผู้ชมรับรู้ทั้งโรงละครมันรู้สึกว่ายากมาก ผมเลยยิ่งต้องพัฒนาและกระตือรือล้นมากกว่าคนอื่นหลายเท่า ตอนที่ไปซ้อมผมก็ไม่กล้าเข้าไปขอคำปรึกษาพี่ ๆ หรือนักแสดงคนอื่น ๆ เลยนะ เพราะผมไม่กล้ารบกวน แต่พี่ ๆน่ารักมาก หลาย ๆ คนเดินเข้ามาถามเข้ามาแนะนำ
...อย่างพี่นกก็จะมาอธิบายเพราะพี่นกรับบทเป็นแม่ของผม บางช่วงที่พี่นกแสดงผมจะแอบสังเกต จำรายละเอียดวิธีการเล่น เพราะในบทต้องสนิทกับแม่สุด ๆ แม้แต่หางเสียงพี่นกยังต้องจำเลยว่าจบแบบนี้แสดงว่าอะไร อารมณ์ไหน แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละคน”
ตลอดการสนทนา นนท์เล่าด้วยความภูมิใจที่แสดงออกทั้งสีหน้าและแววตา ว่าเขามีความสุขมากขนาดไหนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถทำให้ทุกคนยิ้มและมีความสุขไปพร้อมๆกับเขา
“อาชีพนี้มันเป็นเกียรติมากนะที่ได้เป็นนส่วนหนึ่งของความสุขคนดู ซึ่งมีไม่กี่อาชีพ เราถือว่าเราคิดถูกแล้วที่เราซื่อสัตว์กับอาชีพนี้มาโดยตลอดพอวันนี้มันเกิดผล มันคุ้มค่ามากกับการอดทนที่เราเสียสละหลายๆสิ่งๆหลายอย่างเพื่อที่จะมาอยู่ตรงนี้”
ภาพจาก FB:IAM