'สุเทพ' ลั่นรปช.ไม่แทงกั๊ก เชื่อปาฏิหาริย์ทางการเมือง
รปช.ไม่แทงกั๊ก "สุเทพ" เชื่อปาฏิหาริย์ทางการเมือง ย้ำไม่ร่วมงานกับระบอบทักษิณอย่างแน่นอน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ แกนนำคนสำคัญร่วมจัดตั้ง พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ได้ขึ้นเวทีปราศรัยขนาดกลาง ราว 2,000 ที่นั่งของพรรคเป็นคร้้งแรก ณ บริเวณลานดินใกล้ตลาดปัฐวิกรณ์ เมื่อคืนที่ผ่านมา (17ก.พ.)
โดยขณะที่ "นายสุเทพ เทือกสุบรรณ" หรือที่เรียกกัน "ลุงกำนัน" กำลังจะปราศรัย มีประชาชนผู้สนับสนุนเดินเป่ายกหวีดมายังหน้าเวที พร้อมมอบดอกไม้ให้กำลังใจ
ขณะที่ "นายสุเทพ" กล่าวย้ำว่า พรรครวมพลังประชาชาติไทย (รปช.) ไม่ใช่พรรคการเมืองของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่พระของตระกูลใดตระกูลหนึ่ง หรือเป็นพรรคของครอบครัวใดครอบครัวหนึ่ง แต่เป็นพรรคการเมืองของประชาชนทั่วประเทศ และเป็นพรรคการเมืองในประเทศไทยพรรคเดียวในขณะนี้ที่สามารถพูดได้เต็มปากว่า เป็นพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง โดยพรรคการเมืิองล้วนมีเจ้าของพรรคทั้งนั้นซึ่งเป็นมานานแล้ว ซึ่งนับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี พ.ศ.2475 ก็มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นมาหลายพรรคแล้ว บางพรรคก็ดับไป บางพรรคก็ยังอยู่ ขณะที่หลังจากมีรัฐธรรมนูญฯ ฉบับใหม่ ก็มีพรรคการเมืองเกิดขึ้นใหม่อีกหลายพรรค แต่ถ้าดูเนื้อหาสาระความเป็นจริงของพรรคการเมืองเหล่านั้น ยังไม่มีพรรคไหนที่ประชาชนเป็นเจ้าของอย่างแท้จริงเหมือนกับพรรค รปช.นี้
โดยความเป็นเจ้าของพรรคดูได้ จากข้อ 1. ใครเป็นคนออกเงิน เราเคยเห็นพรรคการเมืองที่คนเป็นเจ้าของพรรคจะเป็นผู้ออกเงินตั้งพรรค โดยคนที่ตั้งพรรคได้ต้องเป็นคนที่มีเงินหลายพันล้าน หรือหลายหมื่นล้าน แต่พรรค รปช.นี้คนที่ออกเงินให้ตั้งพรรค คือสมาชิกทุกคนที่ออกมาคนละ 1 บาทต่อวันเท่านั้นเอง มีเงินวันละ 1 บาทก็เป็นเจ้าของพรรคการเมืองได้ และถือเป็นความมหัศจรรย์ของประเทศไทยในเวลานี้ โดยเรียนกับพี่น้องว่าพรรค รปช.ที่ตั้งขึ้น เพราะคนที่มีอุดมการณ์ คนที่มีแนวคิดการเมืองอย่างเดียวกัน ที่เป็นห่วงชาติบ้านเมืองอย่างเดียวกันนั่งปรึกษาหารือกันเห็นพ้องต้องกันว่าจำเป็นเหลือเกินแล้วที่จะต้องมีพรรคการเมืองของประชาชนอย่างแท้จริง ให้เกิดขึ้นมาในประเทศนี้
เพื่อทำงานการเมืองให้กับประเทศไทย ให้กับประชาชนคนไทย เราไม่สามารถจะทนเห็นการเมือง เป็นการเมืองเพื่อประโยชน์ของคนใดคนหนึ่งไม่ต้องการเห็นการเมืองเป็นประโยชน์ของคนตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งที่ต่อไปแล้ว เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างนั้นได้สร้างความวิบัติเสียหายให้กับประเทศไทยมามากพอแล้ว ประเทศไทยเสียโอกาสมามากแล้ว จึงถึงเวลาที่จะต้องสร้างการเมืองที่ดีให้เกิดขึ้นในประเทศนี้ และการเมืองที่ดีนั้นจะต้องเป็นการเมืองเพื่อประชาชน เพื่อประเทศไทย ซึ่งมีหนทางเดียวที่จะทำให้การเมืองอย่างนั้นเกิดขึ้นได้ คือจะต้องมีพรรคการเมืองของประชาชนเป็นเครื่องมือสำคัญในการทำงานการเมือง ในยุคใหม่นี้ โดยมีคน 602 คนได้ลงขันกันคนละ 50,000 บาทเพื่อจัดตั้งพรรค รปช.ได้เงินมา 30,100,000 บาท หลังจากนั้นเราก็ได้เชิญชวนพี่น้องประชาชนคนไทยทั่วประเทศที่มีความคิดเห็นการเมืองอย่างเดียวกัน มาสมัครสมาชิกพรรค โดยในความเป็นจริงจะต้องมีพรรคการเมืองของประชาชนขึ้นมาแล้ว เราศรัทธาในหลักการนี้ จึงร่วมกันบริจาคเงิน โดยเราเป็นพรรคแรก ดังนั้นเจ้าของพรรคนี้ ที่แท้จริง ก็คือประชาชนที่ร่วมออกเงิน
ข้อที่ 2 เป็นพรรคของใคร ก็ต้องดูว่าใครมีอำนาจเหนือพรรคนั้น ซึ่งพรรคอื่นๆ คนที่เป็นเจ้าของพรรค จะเป็นคนกำหนดตัวบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรค เป็นเลขาธิการพรรค เป็นกรรมการบริหารพรรค และเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรค ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะตั้งน้องเขยเป็นหัวหน้าพรรค , น้องสาวเป็นหัวหน้าพรรค ตั้งลูกของเพื่อนเป็นหัวหน้าพรรคและเป็นกรรมการบริหารพรรค เพราะนั่นเป็นพรรคของเขา เขาทำแม้กระทั่งจะให้ใครไปเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งในแต่ละภาค ในแต่ละเขตและในบัญชีรายชื่อ เจ้าของพรรคผู้ออกเงิน จะเป็นคนกำหนดทั้งสิ้น บางคนก็กำหนดมาในประเทศบางพรรคก็กำหนดมาจากต่างประเทศ แต่ถ้าของพรรคเรา ผู้มีอำนาจสูงสุดคือประชาชน และเป็นคนเลือกหัวหน้าพรรคโดยตรงไม่
อ้อมค้อม ไม่ซิกแซ็ก รวมทั้งเลืิกตั้งกรรมการบริหารพรรคโดยตรง ประชาชนเป็นตัวกำหนดตัวบุคคลในแต่ละเขตเลือกตั้ง
"พรรคนี้ไม่ส่งเสาไฟฟ้า พรรคนี้ไม่ส่งเสาโทรเลขในนามของพรรค แต่เราจะส่งคนที่ประชาชนตัดสินใจร่วมกันและกำหนดให้เป็นผู้สมัครในแต่ละเขต ที่สำคัญกว่านั้นก็คือประชาชนที่เป็นเจ้าของพรรค ยังเป็นผู้กำกับควบคุมผู้ประพฤติของนักการเมืองในพรรคนี้ด้วย"
"นายสุเทพ" กล่าวอีกว่า พรรคเรายังมีคณะกรรมการวินัยจริยธรรมด้วย ที่จะกำกับดูแลนักการเมืองของพรรคนี้ ซึ่งเลือกอดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา เป็นประธานดำเนินการวินัยและจริยธรรม โดยมีคณะกรรมการอีก 4 คน ซึ่งจะคอยตรวจสอบ , ควบคุมเอง ลงโทษเองกันเองของนักการเมืองตั้งแต่ภายในพรรค
และการที่ตนออกไปเดินคารวะแผ่นดิน คาราวะประชาชน ไม่ใช่เพียงการไปเชิญชวนให้มาร่วมมาเป็นสมาชิก แต่ยังเป็นการไปฟังความทุกข์ของประชาชน ไปฟังความทุกข์ของแผ่นดิน เราไม่ได้ใช้วาทกรรม แต่ความทุกข์ของประชาชนคือความทุกข์ของพรรคเรา การไปเดินพบพี่น้องประชาชนทุกภาคในประเทศ เราจะได้ยินความจริงจากปากเจ้าของประเทศ เราจะรู้ว่าเขาทุกข์อะไรอยู่ และจะได้รู้ว่าเราจะต้องทำอะไร การเดินไปเกือบทุกตลาดสดของประเทศทุกวันตั้งแต่ตี 3 ตี 4 ก็ได้ยินเสียงคร่ำครวญของประชาชนทุกภาคว่ามีความทุกข์ที่รายได้ไม่พอใช้จ่าย ชักหน้าไม่ถึงหลัง
"ดังนั้น วันนี้ พรรค รปช. จึงถือเป็นภาระหน้าที่ที่จะต้องแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาวบ้านให้ได้เพราะนี่คือคำสั่งของชาวบ้านซึ่งเป็นเจ้าของพรรค หน้าที่สำคัญของเราในการสร้างพรรคคือ การลงสมัครรับเลือกตั้งเพื่อประชาชน เราจะเดินหน้าแก้ไขปัญหาเพื่อชาวบ้าน เราขอประกาศเป็นจุดยืนที่ชัดเจนของพรรคเรา และวิธีการที่เราจะใช้ ก็ชัดเจนเหมือนกันว่าหนึ่งในอุดมการณ์ที่สำคัญ คือการใช้ศาสตร์พระราชาหลักเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาวบ้าน ซึ่งเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่วาทกรรม อย่างหัวหน้าพรรคซึ่งปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมบางคนเคยพูดไว้"
"นายสุเทพ" กล่าวอีกว่า ศาสตร์นี้พระมหากษัตริย์ได้ทรงศึกษาความจริงที่เกิดขึ้นจากชีวิตของประชาชนชาวไทย ได้ศึกษาวิถีชีวิตของคนไทย จากธรรมะที่คนไทยยึดถือเป็นแนวปฏิบัติ ท่านถึงได้ประกาศหลักเศรษฐกิจพอเพียงและได้มีการทดลองปฏิบัติ มีการตั้งสถานีทดลองให้ประชาชนทั้งหลายได้เห็นประจักษ์ ซึ่งศูนย์ศึกษาการเรียนรู้ทั้งหลายก็มีอยู่ในหลายจังหวัด พรรค รปช.จึงประกาศชัดเจนว่าจะดำเนินนโยบายในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของชาวบ้านด้วยหลักเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชา เราไม่เห็นด้วยกับประชานิยมทั้งหลายเราจะไม่นำเรื่องนี้มาใช้เพราะเป็นการหลอกล่อประชาชนด้วยกิเลส เอากิเลสมาเป็นตัวให้มาสนับสนุน ให้หันมาเลือกตั้งลงคะแนนให้แล้วที่สุดก็คือการมอมเมาประชาชนอย่างชัดเจน ซึ่งเราได้เห็นมาแล้ว
โดยเป้าหมายใหญ่ของเรา คือพี่น้องประชาชนทั้งหลาย ต้องมีรายได้เพียงพอที่จะเลี้ยงครอบครัวตนเองได้อย่างมีศักดิ์ศรี ต้องหาทางให้ประชาชนเหล่านี้ สร้างรายได้ด้วยตัวเอง ขณะเดียวกันต้องลดค่าใช้จ่ายของประชาชนทุกครอบครัวให้ลดลง หลักการมีเพียงเท่านี้ไม่ใช่เรื่องลึกลับซับซ้อนอะไร โดยประชาชนที่เราจะต้องดูแลสนับสนุนเป็นพิเศษมี 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มผู้ใช้แรงงาน 2.กลุ่มผู้กลุ่มชาวไร่ชาวนาทั้งหลาย โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้จะใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงศาสตร์พระราชา โดยเราจะคำนวณด้วยว่าแต่ละครอบครัวจะต้องมีรายได้ประมาณเท่าใด เราขะใช้เป็นตัวเลขที่เป็นคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ที่สามารถบอกได้เลยว่าครอบครัวหนึ่งมีรายได้เท่าไหร่ ตอนนี้ถึงเวลาแล้วที่เราจะคิดด้วยกันว่าครอบครัวหนึ่งจะต้องมีรายได้เท่าไหร่ถึงจะอยู่ได้ เช่น ตัวเลขสมมุติก็ครอบครัวละ 15,000 บาท โดยตัวเลขนี้ก็จะเป็นเส้นมาตรฐาน และเราต้องทำ "สำมะโนประชากร" อย่างจริงจัง ว่ามีประชาชนครอบครัวคนไทยที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นมาตรฐานกีาครัวเรือน จากนั้นก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะช่วยสนับสนุนให้คนเหล่านี้ได้ลุกขึ้นยืน เพื่อให้มีรายได้เท่ากับเส้นมาตรฐานได้อย่างพอเพียง หรือแนวทางการฝึกทักษะอาชีพให้เขาอย่างน้อย 6 - 12 เดือน และระหว่างนั้นก็ให้เบี้ยเลี้ยงเขาด้วย ให้เขาพอที่จะยืนหยัดอยู่ได้จนกว่าจะสามารถรายได้เพิ่มขึ้นเอง อย่างคนที่เป็นแม่บ้านอยู่บ้านก็สามารถที่จะหางานทำในครัวเรือนของตนได้เอง ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ตัวอย่างประเทศญี่ปุ่น หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เขาก็นั่งทำงานกันอยู่ที่บ้าน เช่น การประกอบอุปกรณ์วิทยุของทรานซิสเตอร์ โดยประเทศไทยก็สามารถทำเรื่องอย่างนี้เช่นเดียวกันได้ เราสามารถสอนอาชีพให้เขาได้โดยที่ไม่ต้องทิ้งบ้านเรือนเช่นการสอนตัดเย็บเสื้อผ้า
เรื่องเหล่านี้อยู่ที่ความตั้งใจจริง และความมุ่งมั่นว่าในฐานะรัฐบาลจะต้องเป็นผู้ดูแลให้พวกเขาเหล่านี้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และยังปัญหาราคาพืชผลเกษตรที่ขายไม่ได้ไม่ใช่ปัญหาที่เพิ่งเกิดเมื่อปีที่แล้ว หรือเมื่อเดือนที่แล้ว แต่เป็นปัญหาที่มีติดต่อมานานแล้ว เช่นราคายางพารา วันนี้ยางพาราไม่ได้ปลูกเพียงพื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยเท่านั้น แต่ปลูกทุกภาคของประเทศไทย ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคตะวันออกและภาคกลาง ก็ปลูกยางพารา ซึ่งพื้นที่เหล่านั้นคิดเป็น 2 ถึง 3 เท่าของพื้นที่ภาคใต้ ขณะที่มีพรรคการเมืองบางพรรค มีนักการเมืองบางกลุ่มออกมาโจมตีด่าผม ว่าเพราะสุเทพมาเดินขบวนจึงทำให้ยางพาราราคาตก ผมอยากบอกว่าราคายางตก ไม่ใช่เพราะการเดินขบวนในปี 2556 และ 2557 แต่ราคาตกต่ำมานานแล้ว โดยชาวสวนยาง เคยรวมตัวกันประท้วงในยุคสมัยของนายทักษิณ และยังพบว่าราคายางตกต่ำ ก็มาตั้งแต่สมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วด้วย โดยยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ มอบหมายให้นายณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ เป็นผู้แก้ไขปัญหานี้ โดยพูดทุกวันแต่ราคายางก็ไม่ได้ขยับขึ้น นี่คือความเป็นจริงสินค้าเกษตรอย่างอื่นก็เช่นเดียวกัน
"วันนี้ พรรค รปช. ประกาศเลยว่า เกษตรกรต้องขายพืชผลราคาเกษตรแล้วมีกำไร และกำไรนั้นต้องได้แบบ 100% วันนี้เราต้องมาพูดความจริงเดียวกัน ตัวเลขเดียวกัน ถึงเวลาแล้วที่จะต้องพูดชัดเจนว่า ต้นทุนทางการกิจการเกษตรของเราในแต่ละชนิดเป็นเงินเท่าใด ยางพาราเมื่อผลิตออกมาเป็นยางแผ่นดิบนั้นราคาต้นทุนเท่าใด โดยรัฐบาลจะต้องประกาศออกมาทุกต้นฤดูการผลิต ว่าการผลิตปีนี้จะอยู่ต้นทุนอยู่ที่กี่บาท ปาล์มน้ำมันกี่บาท ข้าวโพดกี่บาท มันสําปะหลังกี่บาท และต้องเป็นการประกาศให้รู้โดยทั่วกัน รัฐบาลต้องกล้าประกาศด้วยความรับผิดชอบด้วยว่าเมื่อราคาต้นทุนเท่านี้ จะต้องกำหนดราคาขายที่เกษตรกรควรจะขายได้แล้วได้กำไร 100 เปอร์เซ็นต์คือเท่าใด เช่นต้นทุน 40 บาท ราคาเป้าหมายคือ 80 บาท"
และจะต้องทำ "สำมะโนการเกษตร" ทำข้อมูลว่า มีใครทำเกษตรบ้าง เกษตรประเภทใด เนื้อที่เท่าใด ผลผลิตเท่าใด เราไม่ต้องเข้าไปแทรกแซงกลไกการค้าขายปกติ แต่เราจะมีมาตรการเสริม เช่นว่า พืชผลทางการเกษตรทั้งหลาย ต้องเป็นสินค้าควบคุมด้วยการประกาศของรัฐบาล ไม่ให้พ่อค้าไปประกาศขายในราคาต่ำๆ แล้วมากดราคากับเกษตรกร ขนาดที่ตลาดจะเป็นตัวชี้นำว่าจะต้องผลิตอะไรเท่าไหร่ ที่ผ่านมาเพราะไม่ได้ทำการวางแผนในระบบให้ชัดเจน จึงทำให้เป็นการทำเกษตรแบบยถากรรม และเกษตรแบบเขาลือที่เขาว่าปีนี้ปลลูกอะไรดี ก็แห่กันปลูก เช่น การปลูกยางพาราในนาข้าวแล้วอย่างนี้จะรอดได้อย่างไร
โดยการปราศรัย ช่วงท้าย "นายสุเทพ" กล่าวย้ำด้วย การเลือกตั้งครั้งนี้ พรรค รปช.เรา จะไม่ร่วมงานกับระบอบทักษิณอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะใช้ชื่อพรรคอะไรก็ตาม เราไม่เหมือนนักการเมืองบางพรรคที่แทงกั๊กว่าจะเป็นระบอบประชาธิปไตย ที่รบกับเผด็จการนั้นก็ไม่ใช่ความจริงใจ ขณะที่เราก็คาดการณ์ว่าอย่างน้อยในพรรคของเรา จะได้ที่ นั่ง ส.ส. 50 คน คือจะมีประชาชนที่มาลงคะแนนเสียงให้เราไม่น้อยกว่า 3,500,000 เสียง หากพี่น้องประชาชนเห็นด้วยกับหลักการของเราและนโยบายของพรรค ก็ร่วมกันช่วยกันหาเสียง โดยเราทุกคนสามารถที่จะสร้างปาฏิหาริย์ทางการเมืองให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งครั้งแรกที่ตนได้ประจักษ์ด้วยตนเอง คือ ระบอบทักษิณที่จะมีอำนาจเหนือแผ่นดิน ที่เคยคิดว่าไม่สามารถที่จะล้มได้ แต่พลังของประชาชนก็ทำมาได้แล้วและครั้งที่ 2 ก็ช่วงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ในยุค คสช. ที่เคยมีการแสดงออกจะไม่รับร่าง แต่สุดท้ายประชาชนด้วยคะแนนเสียง 16,800,000 เสียง ได้ผ่านประชามติจนมี รธน.ออกมา โดยตนฝันที่จะได้เห็นปฏิหาริย์ครั้งที่ 3 ที่พี่น้องจะเทใจเลือกคนจากพรรค รปช.ในทุกเขตแล้ว เราก็จะได้ฉลองชัยชนะ ขณะที่กลางคืนตนก็ได้ภาวนาทุกคืนขอให้ได้มีชีวิตอยู่อีก 10 ปี วันนี้อายุ 70 ต้องการอยู่จนถึง 80 ก็ไม่ได้คิดจะเป็นอะไร เพียงแค่อยากจะเป็นโค้ดให้กับนักการเมืองใหม่ๆ นักการเมืองคนธรรมดาสามัญเหล่านี้ให้ลงต่อสู้ โดยครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 1 ก็ขอให้ได้ 50-70 เสียงเราก็ดีใจแล้ว และถ้าอีก 4 ปีได้ลงใหม่ก็จะให้ได้เป็น 150-170 ที่นั่ง และในครั้งที่ 3 ก็หวังจะให้ ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวของประชาชนให้เกิดขึ้นในประเทศไทยนี่คือความฝันของผมซึ่งจะเป็นความฝันร่วมกัน