จับตา ‘อิหร่าน-สหรัฐ’ ขัดแย้ง ‘อินเดีย’เบนเข็มเที่ยวไทย
“อินเดีย” ถือเป็นตลาดที่นักท่องเที่ยวออกเดินทางไปทั่วโลกเติบโตสูงสุดรองจากจีน องค์การการท่องเที่ยวโลกแห่งสหประชาชาติ (UNWTO) ชี้ว่า ด้วยศักยภาพของเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็ว และมีประชากรมากเป็นอันดับ 2 ของโลก
อินเดียน่าจะส่งออกนักท่องเที่ยวถึง 50 ล้านคนภายในปี 2563 โดยหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมคือประเทศไทย ปัจจุบันมียอดชาวอินเดียมาเที่ยวไทยมากที่สุดเป็นอันดับ 3 รองจากชาวจีนและมาเลเซีย
กฤษฎา รัตนพฤกษ์ ผู้อำนวยการภูมิภาคอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า จากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐในปัจจุบัน ยังต้องจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อกระแสการเดินทางของนักท่องเที่ยวอินเดียไปยังจุดหมายในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยเฉพาะนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งปัจจุบันเป็นจุดหมายที่มีนักท่องเที่ยวอินเดียไปเยือนมากที่สุด ด้วยจำนวน 2.1 ล้านคนเมื่อปี 2562 มากกว่าจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยที่ปิดตัวเลขเบื้องต้นไป 1.9 ล้านคน โดยสถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว หากรุนแรงมากขึ้น อาจส่งผลให้นักท่องเที่ยวอินเดียเปลี่ยนใจมาเที่ยวไทยแทน
อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่าปี 2563 ไทยจะมีนักท่องเที่ยวอินเดียมาเยือนแซงหน้าดูไบได้สำเร็จ ด้วยจำนวน 2.2 ล้านคน หรือเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% เมื่อเทียบกับปีนี้ ถือเป็นเป้าหมายที่เป็นไปได้ หากได้รับสารกระตุ้นสำคัญอย่างการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่านตรวจคนเข้าเมือง (Visa on Arrival: VoA) ซึ่งกำลังจะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ ส่วนจะมีการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าด้วยหรือไม่นั้น ต้องรอผลพิจารณาจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก่อน
“แม้อัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวอินเดียมาไทยปีนี้อาจจะไม่ถึงระดับ 20% เหมือนในปี 2562 เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากติดข้อจำกัดเรื่องสิทธิการบินระหว่างไทยกับอินเดีย หลังสายการบินสัญชาติไทยขยายปริมาณที่นั่งบนเครื่องบินเต็มสิทธิการบินแล้ว แต่ยังมีลุ้นว่าสายการบินสัญชาติอินเดีย โดยเฉพาะสายการบินต้นทุนต่ำ (โลว์คอสต์) ต่างๆ จะเปิดเส้นทางบินใหม่หรือเพิ่มเที่ยวบินเข้าไทยมากขึ้น เพราะปัจจุบันยังขยายปริมาณที่นั่งบนเครื่องบินไม่ถึงเพดานสูงสุดของสิทธิการบินฝั่งอินเดีย
ประกอบกับสายการบินโลว์คอสต์บางรายอย่างอินดิโก (Indigo) ได้ทำสถิติสั่งซื้อเครื่องบินล็อตใหญ่จากแอร์บัส 300 ลำ ตามรายงานข่าวเมื่อปลายเดือน ต.ค.2562 ที่ผ่านมา ททท.จึงหวังว่าการทยอยรับเครื่องบินใหม่ของอินดิโกรวมถึงสายการบินอื่นๆ นับจากนี้ จะนำมาเพิ่มเที่ยวบินเข้าไทยมากขึ้น ให้สอดคล้องกับการเติบโตของดีมานด์นักท่องเที่ยวอินเดียที่พุ่งสูง
ขณะที่ภาพรวมปริมาณเที่ยวบินพาณิชย์จากอินเดียเข้าไทยในปัจจุบัน มีสายการบินให้บริการ 10 สายการบิน จาก 13 เมืองในอินเดีย รวม 311 เที่ยวบินต่อสัปดาห์ หรือคิดเป็นปริมาณที่นั่งรวมกว่า 65,182 ที่นั่ง
กฤษฎา กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 6 ม.ค.2563 ที่ผ่านมา ททท.ได้จัดงาน “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ เน็ตเวิร์กกิ้ง ดินเนอร์” ที่กรุงนิวเดลี ประเทศอินเดีย เพื่อนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวใหม่ๆ ทั้งในเมืองรองใกล้กรุงเทพฯ อาทิ กาญจนบุรี, อ.ปากช่อง นครราชสีมา, สมุทรสงคราม รวมถึงเมืองชายทะเลอย่างระยองกับตราด และเมืองหลักในภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวอินเดียซึ่งส่วนใหญ่เป็นทราเวลเอเย่นต์ มาร่วมงานกว่า 60 ราย
หลังได้วิเคราะห์จากพฤติกรรมและอินไซต์ที่นักท่องเที่ยวอินเดียต้องการ เพราะที่ประเทศอินเดียไม่ค่อยมีป่าไม้มากนัก จึงนำเสนอสินค้าท่องเที่ยวในพื้นที่กาญจนบุรี และปากช่องซึ่งมีป่า น้ำตก และรีสอร์ตท่ามกลางสีเขียวชอุ่มของต้นไม้ รวมถึงความสดใสของอากาศเพื่อดึงชาวอินเดียไปพักผ่อน เพราะที่ประเทศอินเดียเองก็ประสบปัญหามลพิษทางอากาศ
“สิ่งที่ ททท.มุ่งโปรโมทคือเรื่องของความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังเมืองรอง ว่าสภาพถนนดี ไม่มีคำว่าลำบากลำบนแน่นอน มีห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และร้านสะดวกซื้อแทบจะทุกมุมเมือง รองรับความต้องการของนักท่องเที่ยวอินเดียที่ชื่นชอบการชอปปิง มาเป็นตัวเลือกใหม่ๆ นอกเหนือจากเมืองหลักอย่างกรุงเทพฯ พัทยา และภูเก็ตซึ่งเป็นจุดหมายที่นักท่องเที่ยวอินเดียชอปปิงควบคู่กับการเที่ยวทะเลอยู่แล้ว โดยเฉพาะย่านประตูน้ำ ซึ่งนิยมซื้อสินค้าแฟชั่น เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ และเครื่องหนัง”
ทั้งนี้ ททท.ได้จัดงานเน็ตเวิร์กกิ้งฯก่อนเข้าร่วมงานเทรดโชว์ส่งเสริมการขายสินค้าท่องเที่ยวที่ใหญ่และสำคัญที่สุดในอินเดีย “South Asia Travel and Tourism Exchange (SATTE) 2020 จะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 8–10 ม.ค.2563 ที่ India Expo Mart, Greater Noida กรุงนิวเดลี โดย ททท.ได้นำผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวไทยเข้าร่วมงานนี้มากถึง 82 ราย