วิบากกรรม 'เศรษฐกิจไทย' สารพัดปัจจัยรุมเร้า
วิบากกรรมเศรษฐกิจไทย ทั้งปัญหาการเมืองโลก การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ รวมถึงฝุ่นพิษ PM2.5 ที่กระทบต่อภาคการท่องเที่ยว ถือเป็นเป็นโจทย์หิน ที่รัฐบาลที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้เลวร้ายไปกว่าเดิม
เปิดศักราชใหม่ปี 2563 ยังไม่ทันข้ามเดือน "รัฐบาล" ก็ต้องเผชิญกับสารพัดปัจจัยลบที่กระหน่ำเข้ามาซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเมืองโลกระหว่าง "สหรัฐ" กับ "อิหร่าน" ที่เปิดฉากซัดกันตั้งแต่ต้นปี ทำเอานักท่องเที่ยวชาวตะวันออกกลางบางกลุ่มไม่มีอารมณ์เดินทางออกไปท่องเที่ยวนอกประเทศ สถานการณ์ดังกล่าวแม้เริ่มเบาลง แต่เราก็มาเผชิญกับปัญหา "โรคระบาด" จากเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ที่แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว โดยมีต้นตอจากประเทศจีน และทำท่าว่าจะลุกลามไปในอีกหลายๆ ประเทศ ซึ่งในส่วนของประเทศไทย ก็พบผู้ติดเชื้อดังกล่าวแล้วราว 5 ราย
ปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่นี้ กำลังสร้างแรงกดดันที่มากขึ้นต่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย เพราะเศรษฐกิจไทยในช่วงที่ผ่านมาเครื่องยนต์หลักๆ ดับเกือบ "ยกแผง" ไม่ว่าจะเป็น การส่งออก การบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายและการลงทุนของภาครัฐ จะมีก็เพียง "การท่องเที่ยว" ที่ช่วยประคับประคองไม่ให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงไปมากนัก
แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ กำลังทำให้เครื่องยนต์ดังกล่าวสะดุดตามลงด้วย เพราะล่าสุดรัฐบาลจีนเพิ่งจะสั่งห้ามทัวร์จีนออกเดินทางไปเที่ยวนอกประเทศ ในขณะที่การท่องเที่ยวไทยพึ่งพานักท่องเที่ยวจีนเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ดังนั้นการชะลอเที่ยวของทัวร์จีน จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะกระทบต่อเศรษฐกิจไทย
ไม่เพียงเท่านี้ เรายังเผชิญกับปัญหา "ฝุ่นพิษ" ที่ปกคลุมหัวเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจอย่างกรุงเทพมหานคร ซ้ำเติมบรรยากาศการท่องเที่ยวที่หนักลงกว่าเดิม เพราะผู้คนไม่กล้าที่จะออกเดินทางไปเที่ยวนอกบ้าน ขณะเดียวกัน เรายังเผชิญกับปัญหา "ภัยแล้ง" ที่รุนแรงสุดในรอบหลายๆ ปี สะท้อนผ่านระดับน้ำในเขื่อนต่างๆ ที่ลดต่ำลงอย่างมาก โดยต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันกับเมื่อปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่ไทยเผชิญกับปัญหาภัยแล้งในขั้นรุนแรง สถานการณ์นี้ซ้ำเติม "กำลังซื้อ" กลุ่มเกษตรกรที่ย่ำแย่อยู่แล้วให้หนักลงยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเกษตรกรผู้เพาะปลูกข้าวในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง
นอกจากนี้ เรายังเผชิญกับปัญหาที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน จากการสะดุดลงของงบประมาณรายจ่ายปี 2563 หลังมี ส.ส. บางคนเสียบบัตรแทนกันในระหว่างพิจารณาร่างงบประมาณดังกล่าว จนเกิดการร้องเรียนทำให้ร่างงบประมาณที่คนทั้งประเทศเฝ้ารอคอยส่อเค้าว่าจะเป็น "โมฆะ" ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ประเด็นนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการเบิกจ่ายของหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะงบลงทุนใหม่ที่ไม่สามารถทำได้ แน่นอนว่าปัญหาดังกล่าวกำลังซ้ำเติมเศรษฐกิจไทย ซึ่งเวลานี้ก็หนักหนาสาหัสอยู่แล้ว ทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงมากยิ่งขึ้น
ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้น ถือเป็น "โจทย์ท้าทาย" และเป็น "โจทย์หิน" ที่รัฐบาลที่ต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในการประคับประคองเศรษฐกิจไทยไม่ให้เลวร้ายไปกว่าเดิม เพียงแต่เวลานี้เครื่องไม้เครื่องมือที่รัฐบาลมีอยู่ ก็มีอย่างจำกัดจำเขี่ย เพราะงบประมาณปี 63 ที่แต่เดิมคาดหวังกันว่า จะออกมาในช่วงเดือน มี.ค. ซึ่งจะช่วยปลดล็อกปัญหาเศรษฐกิจในหลายๆ ด้าน เพราะทำให้รัฐบาลมีกำลังในการดูแลเศรษฐกิจที่มากขึ้น แต่เวลานี้ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า งบดังกล่าวคงล่าช้าไปอีกเป็นเดือนๆ ดังนั้นความหวังที่จะเห็นเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าริบหรี่ลงเรื่อยๆ