ครม.เคาะ 26 เมษายน เป็นวันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติ หนุนอุตสาหกรรมไมซ์
ครม.เห็นชอบกำหนดให้วันที่ 26 เมษายน ของทุกปี เป็นวันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติ เตรียมพร้อมเป็นศูนย์กลางการจัดประชุมและสัมนาระดับโลก หนุนเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังโควิด
น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เห็นชอบกำหนดให้วันที่ 26 เมษายน ของทุกปี เป็น "วันจัดประชุมและนิทรรศการแห่งชาติ" โดยไม่ถือเป็นวันหยุดราชการ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของไทยในการบริหารจัดการด้านสาธารณสุข ความปลอดภัยและสุขอนามัย และมีความพร้อมในการรองรับการจัดงานสำคัญระดับนานาชาติและการเปิดประเทศในปลายปี 2564 สำหรับการกำหนดให้วันที่ 26 เมษายนเป็นวันจัดประชุมและนิททรรศการแห่งชาติ เนื่องจากเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2425 เป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานแสดงสินค้าของประเทศไทย ที่ท้องสนามหลวง ในโอกาสฉลองกรุงรัตนโกสินทร์ 100 ปี เป็นระยะเวลา 3 เดือน
ทั้งนี้ทางสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ "สสปน." ระบุว่า การกำหนดวันสำคัญของชาติที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไมซ์ครั้งนี้ จะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันไมซ์ไปสู่วาระแห่งชาติ สร้างความภาคภูมิใจในอุตสาหกรรมไมซ์ในภาคส่วนต่างๆทั้งผู้ประกอบการ ภาคธุรกิจ ภาคประชาชนทั่วไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่ออุตสาหกรรมไมซ์และการผลักดันประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการประชุมและนิทรรศการของโลกตามเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติ โดยในปัจจุบันธุรกิจและอุตสาหกรรมไมซ์มีบทบาทอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งในปี 2562 อุตสาหกรรมไมซ์ทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ต่อห่วงโซ่เศรษฐกิจ โดยเกิดการใช้จ่ายจากการจัดกิจกรรมไมซ์รวมมูลค่าทั้งสิ้น 544,000 ล้านบาท เป็นไมซ์ในประเทศ 275,000 ล้านบาท และไมซ์ต่างประเทศ 269,000 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 3 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) และภาครัฐสามารถจัดเก็บภาษีจากธุรกิจไมซ์ได้ปีละ 35,900 ล้านบาท เกิดการจ้างแรงงานมากกว่า 340,000 อัตรา
ขณะเดียวกันธุรกิจและอุตสาหกรรมไมซ์ ยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อไปได้อีก เป็นธุรกิจและอุตสาหกรรมที่สามารถสร้างชื่อเสียงและความภาคภูมิใจให้กับประเทศไทยต่อเนื่องไปถึงอนาคต ซึ่งจากรายงานของสมาคมการประชุมนานาชาติระดับโลก (ICCA) ที่เผยแพร่ในปี 2561 ระบุว่า อุตสาหกรรมไมซ์ของไทยครองอันดับ 1ด้านการจัดประชุมนานาชาติของอาเซียนต่อเนื่องเป็นปีที่ 3
โดยมีการจัดประชุมนานาชาติจำนวน 193 ครั้ง และเป็นการจัดงานประชุมนานาชาติมากที่สุดอันดับ 4 ของเอเชีย รองจาก ญี่ปุ่น จีน และเกาหลีใต้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพ ความแข็งแกร่ง และทิศทางการเติบโตของธุรกิจไมซ์ของไทยในภูมิภาค และการยกระดับก้าวไปสู่การเป็นผู้นำไมซ์ของโลกได้ในอนาคต