วิกฤติโควิดทุบ ‘บาทอ่อน’ วันนี้ เปิดตลาดอ่อนค่าสุดครั้งใหม่ที่32.11บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทเปิดตลาดวันนี้ 32.11 บาทต่อดอลลาร์ ทิศทางค่าเงินบาทยังอ่อนค่าทำสถิติสูงสุดใหม่รอบ13 เดือน จากสถานการณ์การระบาดโควิด-19ในประเทศยังวิกฤติ ขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่ารับเศรษฐกิจสหรัฐฟื้น คาดวันนี้เงินบาทที่ระดับ 32.05- 32.00 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักวิเคราะห์ประจำห้องค้าเงินธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 32.11 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าลง เป็นการอ่อนค่าสุดครั้งใหม่รอบ13เดือน จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.02 บาทต่อดอลลาร์มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ32.05-32.20 บาทต่อดอลลาร์
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท ประเด็นสำคัญต่อทิศทางค่าเงินบาท ยังคงเป็นประเด็นความกังวลสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ทั่วโลกและในไทย โดยสถานการณ์การระบาดทั่วโลก จะกดดันภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงฟื้นตัวได้ดี ซึ่งจะทำให้ ตลาดถือครองเงินดอลลาร์มากขึ้น หนุนให้ เงินดอลลาร์ยังมีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้
นอกจากนี้ สถานการณ์การระบาดในไทยยังวิกฤติอยู่ จากยอดผู้ติดเชื้อรายวันที่อยู่ในระดับสูงและยังไม่มีทีท่าจะลดลง ขณะเดียวกัน การแจกจ่ายวัคซีนก็ดูจะล่าช้าและแผนการแจกจ่ายวัคซีนอาจไม่สามารถรับมือกับการระบาดของสายพันธุ์เดลต้าได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังสามารถทยอยขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยและกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้
นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมในช่วงปลายเดือนจากฝั่งผู้นำเข้า ที่อาจเริ่มกังวลต่อแนวโน้มเงินบาทอ่อนค่า ก็อาจทำให้ผู้นำเข้าทยอยเข้ามาซื้อเงินดอลลาร์ หนุนให้เงินบาทโดยรวมยังทรงตัวในระดับสูงอยู่
ทั้งนี้ ค่าเงินบาทก็อาจอ่อนค่าต่อถึงระดับ 32.25- 32.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ หลังเงินบาทอ่อนค่าทะลุแนวต้านสำคัญแถว 32 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่ง เรามองว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย อาจใช้จังหวะเงินบาทอ่อนค่าลง ในการทยอยลดการถือเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ (FX Reserves) ลงบ้าง เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้สหรัฐฯมองว่า ไทยมีการแทรกแซงค่าเงินในทิศทางเดียว หรือ เพื่อให้ FX reserves มีการลดลงบ้าง ซึ่งอาจช่วยคุมไม่ให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วเกินไปจนผู้นำเข้าปรับกลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงไม่ทัน
ดังนั้นจากทิศทางค่าเงินบาทที่มีความผันผวนมากขึ้น จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การระบาดของ โควิด-19 เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะ การใช้ Options เพราะหากค่าเงินบาทเคลื่อนไหวสวนทางกับสิ่งที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ผู้ประกอบการเองก็ยังสามารถเลือกได้ว่าจะใช้สิทธิ์ของ Options หรือไม่ ทำให้ผู้ประกอบการมีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าการจอง Forward เพียงอย่างเดียว
ตลาดการเงินโดยรวมเริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงอย่างค่อยเป็นค่อยไป จากความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่นำโดย สหัฐฯ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดย Conference Board (Consumer Confidence) ปรับตัวขึ้นแตะระดับ 127.3 ในเดือนมิถุนายน มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้มาก อย่างไรก็ดีผู้เล่นในตลาดยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เนื่องจากปัญหาการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ Delta ยังทวีความรุนแรงในหลายประเทศ อาทิ อังกฤษ รวมถึง กลุ่มอาเซียน อนึ่ง ผลการวิจัยล่าสุดได้ชี้ให้เห็นว่า วัคซีน mRNA สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันต่อ COVID-19 ได้ดีเกือบทุกสายพันธุ์ แม้ว่าปริมาณอาจลดลงไปบ้างในสายพันธุ์ใหม่ๆก็ตาม ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่จะเกิดการระบาดของสายพันธุ์ใหม่ๆ อย่าง Delta ในสหรัฐฯ ซึ่งอาศัยการแจกจ่ายวัคซีนmRNA กว่า 70% ทำให้แนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังดูสดใสอยู่
การเปิดรับความเสี่ยงของตลาดได้หนุนให้ ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างปิดตลาดในแดนบวก นำโดย หุ้นในกลุ่มเทคฯโดยเฉพาะ หุ้นในกลุ่ม Semiconductor ที่ได้ช่วยหนุนให้ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปิดบวก +0.19% ขณะที่ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.03% ส่วนในฝั่งยุโรป การเปิดรับความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด แม้จะมีความกังวลปัญหาการระบาดของCOVID-19 อยู่บ้าง ก็ได้หนุนให้ ดัชนี STOXX50 ของยุโรป พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นกว่า +0.43% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ Infineon Tech. +3.52% ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าลงของเงินยูโร ก็ได้หนุนหุ้นสินค้าแบรนด์เนม รวมถึง กลุ่มอุตสาหกรรม ปรับตัวขึ้น Adidas +2.63%, Louis Vuitton +0.96%, Volkswagen +0.90%
ทั้งนี้ ความไม่แน่นอนของปัญหาการระบาดโควิด-19 ทั่วโลก รวมถึง ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งเป็นหนึ่งในFOMC Voting member ก็ได้กดดันให้ บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ ยังทรงตัวใกล้ระดับ 1.48% ซึ่งเราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10ปี สหรัฐฯ จะแกว่งตัวในกรอบ Sideways จนกว่าเฟดจะส่งสัญญาณชัดเจนถึงการทยอยปรับลดคิวอีลง ซึ่งอาจเป็นช่วงปลายเดือนสิงหาคม ที่เฟดจะมีงานประชุมสัมมนาวิชาการที่ Jackson Hole หรือ สถานการณ์การระบาดของCOVID-19 มีทิศทางชัดเจนมากขึ้น ว่าจะเลวร้ายลง (กดดันยีลด์ปรับตัวลง) หรือ ดีขึ้นต่อเนื่อง (อาจหนุนยีลด์ปรับตัวขึ้นได้)
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ เคลื่อนไหวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังแนวโน้มเศรษฐกิจในประเทศอื่นๆอาจชะลอลงจากปัญหาการระบาดของ โควิด-19 สวนทางกับภาพการฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจสหรัฐฯ กอปรกับผู้เล่นในตลาดก็เริ่มสะสมสินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะ เงินดอลลาร์ เพื่อป้องกันความผันผวนในตลาดที่อาจปรับตัวสูงขึ้นได้ โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 92.05 จุด กดดันให้ เงินออสเตรเลียดอลลาร์(AUD) อ่อนค่าลงกว่า 0.7% แตะระดับ 0.751 ดอลลาร์ต่อAUD ส่วน เงินยูโร (EUR) ก็อ่อนค่าลงราว 0.2% สู่ระดับ1.19 ดอลลาร์ต่อยูโร นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ ย่อตัวลงเกือบ 1% สู่ระดับ1,760 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ตลาดจะจับตาการรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่าน ยอดการจ้างงานภาคเอกชน สำรวจ โดยADP ซึ่งอาจสะท้อนถึงแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะประกาศในวันศุกร์นี้ได้ โดย ตลาดคาดการณ์ว่า ยอดการจ้างงานภาคเอกชน จะเพิ่มขึ้นราว 6 แสนตำแหน่ง ในเดือนมิถุนายน สะท้อนว่าNonfarm Payrolls ในวันศุกร์นี้ ก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้ไม่น้อยกว่า 5 แสนตำแหน่ง นอกจากนี้ ตลาดจะติดตาม มุมมองของเจ้าหน้าที่เฟดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของเฟด ผ่านถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด อาทิ Raphael Bostic ซึ่งเป็นหนึ่งใน Voting member ของ FOMC
ส่วนในฝั่งเอเชีย ตลาดมองว่าเศรษฐกิจจีนยังคงสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง โดยทั้งดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคอุตสาหกรรมการผลิตและการบริการ (Mfg. & Services PMIs) ยังอยู่ที่ระดับ 50.8 จุด และ 55.3 จุด ตามลำดับ (ดัชนี > 0 หมายถึงภาวะขยายตัว)