ผ่ากองทุนจีน เปิดมุมมองใหม่ใช้เทคโนโลยี AI ช่วยลงทุนเสริมพอร์ตแกร่ง
หนึ่งในกองทุนหุ้นต่างประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนไทย คือ “กองทุนหุ้นจีน” ด้วยผลตอบแทนย้อนหลังที่โดดเด่น สอดรับกับการขยายตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจจีน
การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศนอกจากจะช่วยกระจายความเสี่ยงแล้ว ยังเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับนักลงทุนไทยได้แสวงหาโอกาสการลงทุนใหม่ๆ ในตลาดที่เติบโตสูงและให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งหนึ่งในกองทุนหุ้นต่างประเทศที่ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักลงทุนไทย คือ “กองทุนหุ้นจีน” ด้วยผลตอบแทนย้อนหลังที่โดดเด่น สอดรับกับการขยายตัวอย่างมั่นคงของเศรษฐกิจจีน ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ได้รับอานิสงส์จากนโยบายภาครัฐ พร้อมกับจำนวนประชากรที่มากที่สุดในโลกอันหมายถึงพลังซื้ออันมหาศาลของประเทศ
หากย้อนกลับไปดูเศรษฐกิจจีนในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เติบโตเฉลี่ย 6-7% ต่อปี ขณะที่ตลาดหุ้นจีนโตเฉลี่ยที่ 7% ต่อปีเช่นกัน เทียบกับตลาดหุ้นสหรัฐที่จีดีพีโตเฉลี่ย 3-4% แต่ตลาดหุ้นโตเฉลี่ย 7-8% ต่อปี ขณะที่ไทยจีดีพีโตเฉลี่ย 2-3% ส่วนตลาดหุ้นโตเฉลี่ยราวๆ 8% ต่อปี ซึ่งโดยปกติแล้วตลาดหุ้นควรจะเติบโตหนึ่งเท่าของจีดีพี จึงมองว่าตลาดหุ้นจีนมีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะ ประเมินว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดหุ้นหุ้นจีนจะเติบโตได้ 10-15% ต่อปี ดังนั้นการเข้าลงทุนช่วงนี้ที่ตลาดปรับฐานจึงเป็นจังหวะที่ดีมากๆ
จึงไม่แปลกที่บรรดาผู้จัดการกองทุนจะแห่ออกกองทุนหุ้นจีนกันอย่างคึกคัก ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละกองทุนมีความแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นวัตถุประสงค์การเข้าถึง โดยมีทั้งกองทุนทั่วไปสำหรับรายย่อย กองทุนของสถาบันหรือกองทุนส่วนบุคคล และ กองทุน SSF, RMF และ Provident Fund นอกจากนี้ ยังมีความแตกต่างในเรื่องของตลาดที่ไปลงทุน นั่นคือ A-Shares, H-Shares และ All-Shares รวมถึงยังมีการแบ่งประเภทการจัดการของกองทุนทั้ง Passive Fund (กองทุนเชิงรับ ผู้บริหารลงทุนตามเกณฑ์มาตรฐาน หรือดัชนีที่ตั้งไว้) และ Active Fund (กองทุนเชิงรุก ผู้บริหารลงทุนเพื่อให้ชนะดัชนี หรือ Benchmark ที่ตั้งไว้)
สำหรับกองทุนต่างๆ นี้ จะมี บลจ. ผู้ได้รับอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการ ก.ล.ต. ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ และความรู้ทางด้านการลงทุนเป็นผู้บริหารจัดการ ค่าธรรมเนียมก็จะแตกต่างกันออกไป เฉลี่ยอยู่ที่ 1% ถึง 2% รวมถึงผลตอบแทนด้วยเช่นกัน โดยที่ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2564 กองทุนหุ้นจีนในไทยมีผลตอบแทนตั้งแต่ -3.22% ถึง 9.84%
แม้ตลาดหุ้นประเทศจีนจะเริ่มเนื้อหอมขึ้นมาก แต่ปัจจัยต่างๆ เช่น การจัดการดูแลของรัฐที่มีต่อบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทเทคโนโลยี อย่าง อาลีบาบา (Alibaba) เพื่อมุ่งเน้นการเติบโตของตลาดทุนอย่างมีคุณภาพ ซึ่งดีต่อภาพรวมการเติบโตของตลาดในระยะยาวนั้น ก็มีผลกระทบทำให้ตลาดหุ้นผันผวนในระยะสั้น ซึ่งดัชนี CSI300 ในปี 2563 เติบโตถึง 27% จากนั้นมีการแกว่งตัวขึ้นลงค่อนข้างแรงกว่า 10% ในช่วงต้นปี 2564 ก่อนที่จะมาปรับฐานในช่วงนี้ ทำให้นักลงทุนมองว่าเป็นช่วงจังหวะเวลาที่ดีในการลงทุน อีกทั้งบรรดากูรูการลงทุนต่างก็แนะนำการลงทุนในตลาดหุ้นจีน โดยเฉพาะกลยุทธ์การลงทุนในแบบ Passive หรือการลงทุนระยะยาว ซึ่งเป็นอีกทางเลือกการลงทุนที่น่าสนใจ
การลงทุนแบบ Passive Fund ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่าสามารถสร้างผลตอบแทนชนะการลงทุนแบบ Active Fund ถึง 90% ดังนั้นจึงเป็นกลยุทธ์ที่หลายกองทุนเลือกมาบริหารจัดการการลงทุนในหุ้นจีน ซึ่งมีหลากหลายกองทุนให้เลือก โดยส่วนใหญ่เลือกกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่ดี และค่าธรรมเนียมไม่แพง กองทุนที่ลงทุนระยะยาว 10 ปี จะมีผลตอบแทนโดยเฉลี่ยต่อปีถึง 13%
ที่สำคัญ การการลงทุนผ่านกองทุนนั้น มีความสะดวกสบาย เพราะหากนักลงทุนไม่สามารถไปศึกษาตลาดจีนเองได้ รวมทั้งอุปสรรคด้านภาษาและจำนวนหุ้นที่มากกว่า 4,000 บริษัท ดังนั้นการมีผู้จัดการกองทุนมาเป็นผู้ดูแลก็ดูเหมือนจะเป็นทางเลือกที่สะดวกสบายกว่า ซึ่งนอกเหนือจากการมีผู้จัดการกองทุนมาคัดสรรหุ้น บริหารจัดการกองทุนให้แล้ว ยังมีกองทุนที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการบริหารจัดการพอร์ต วิเคราะห์หาสินทรัพย์ที่สร้างผลแทนได้ดีกว่า โดยให้ระบบทำงานอย่างอัตโนมัติ ซึ่งในประเทศไทยนั้นยังถือว่าค่อนข้างใหม่ แต่ก็ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วง New Normal ที่หลายคนเปิดใจและยอมรับโลกดิจิทัลมากขึ้น
สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในกองทุนที่ใช้ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ในการลงทุนในประเทศไทย เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลกับการปรับพอร์ต เนื่องจากมี AI เข้ามาช่วยคัด ‘หุ้นดี ราคาถูก’ แบบ ไม่มีอคติ ปราศจากอารมณ์ หรือความลังเลของผู้จัดการกองทุน ทำให้มีอิสระ มีความยืดหยุ่นในการลงทุน ปัจจุบันมีเพียงไม่กี่กองทุนที่ลงทุนในจีน
กองทุนล่าสุดที่ลงทุนในตลาดหุ้นจีน และใช้ AI เข้ามาช่วยนักลงทุนในการคัด ‘หุ้นดี ราคาถูก’ คือ กองทุนส่วนบุคคล “Jitta Ranking จีน” ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน จิตตะ เวลธ์ จำกัด (บลจ.) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของบริษัท จิตตะ ดอท คอม จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มวิเคราะห์หุ้นเน้นคุณค่า Jitta.com เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2556 โดยมีเป้าหมายหลักคือการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อให้นักลงทุนทั่วโลกสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีขึ้น
โดยกองทุนส่วนบุคคล “Jitta Ranking จีน” เป็นกองทุนส่วนบุคคลที่ไปลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นจีน มีนโยบายลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ราคาเหมาะสม ในกลุ่ม A-shares หรือ ดัชนีหุ้นจีนแผ่นดินใหญ่ เป็นหุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (SSE) และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น (SZSE) ประกอบด้วยธุรกิจที่หลากหลาย มีบริษัทจดทะเบียนกว่า 4,000 บริษัท ครอบคลุมในทุกอุตสาหกรรมของประเทศ ทั้งกลุ่มเศรษฐกิจเก่า (Old Economy) และกลุ่มเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจีน เช่น กลุ่มเทคโนโลยี ฟินเทค อีคอมเมิร์ซ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริการทางการแพทย์และการดูแลสุขภาพ พลังงานทดแทน และยานยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ
จุดเด่นของกองทุนส่วนบุคคล “Jitta Ranking จีน” นอกจากจะนำเทคโนโลยี AI มาใช้วิเคราะห์หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก ยังทำการวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจย้อนหลังไปถึง 10 ปี ดูทั้งงบการเงิน อัตราส่วนทางการเงิน (Financial Ratio) ผนวกกับหลักการลงทุนแบบวีไอ ที่เน้นวิเคราะห์พื้นฐานธุรกิจว่าแกร่งแค่ไหน ทั้งในด้านผลประกอบการในอดีตและปัจจุบัน ความสามารถในการแข่งขัน การสร้างผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น และโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้หุ้นที่ตรงตามแนวคิดของ “วอร์เรน บัฟเฟตต์” ซึ่งเน้นลงทุนในธุรกิจที่ยอดเยี่ยม ในราคาที่เหมาะสม วิเคราะห์หุ้นทั้งหมด 1,400 หุ้นที่ซื้อขายผ่านตลาดหุ้นฮ่องกง (HKEX) ผ่าน China-Hong Kong Stock Connect ซึ่งเชื่อว่ายังมีหุ้นจีนดีๆ อีกมาก ที่นักลงทุนยังไม่รู้จัก โดยการนำ AI มาวิเคราะห์น่าจะทำให้ได้หุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก ที่หลากหลายขึ้น ไม่ได้ยึดติดอยู่กับแค่หุ้นพิมพ์นิยมเพียงไม่กี่ตัว
ที่สำคัญ แม้ว่ากองทุนส่วนบุคคลนี้จะเป็นแบบ Passive Fund แต่ก็มีการปรับพอร์ตทุก 3 เดือน และเลือกหุ้นดีตามงบการเงินไตรมาสล่าสุดเสมอ ส่วนเงินปันผลที่ได้รับจะนำไปลงทุน (Reinvest) ต่อเนื่อง โดยจะกระจายความเสี่ยงด้วยการเริ่มลงทุนตั้งแต่ 5 หุ้น และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึง 20 หุ้น การคิดค่าธรรมเนียมเป็นไปอย่างยุติธรรม โปร่งใส มีค่าบริหารจัดการเพียง 0.5% ต่อปี เทียบกับค่าเฉลี่ยของตลาดที่ประมาณ 2% และมีค่าธรรมเนียมตามผลกำไร 10% เพื่อให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนที่มากกว่าในระยะยาว
มาดูผลตอบแทนของ “Jitta Ranking จีน” ถือว่ายังทำผลงานได้ดี โดยมีอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปี 2564 ถึงปัจจุบัน (YTD) ด้วยการคำนวณผ่านแบบจำลองผลการดำเนินงานย้อนหลัง (Back Test) 8.43% ไม่แพ้ทุกกองทุนที่ลงทุนจริงในหุ้นจีน A-shares ทั้งแบบ Passive Fund และ Active Fund รวมทั้ง ให้ผลตอบแทนสูงกว่าดัชนี CSI300 TRI (Shanghai Shenzhen CSI 300 Index Total Return) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1.01% เท่านั้น
ส่วนผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี “Jitta Ranking จีน” สามารถทำได้ถึง 13.42% ชนะดัชนี CSI 300 TRI ที่ทำได้ 7.46 % ขณะที่ผลตอบแทนรวมย้อนหลัง (Back Test) 10 ปี (พ.ศ. 2554-2563) ของ “Jitta Ranking จีน” สูงถึง 253.90% เทียบกับดัชนี CSI300 TRI ที่ทำได้ 105.34%
หากย้อนดูผลงานกองทุนส่วนบุคคลของ บลจ. จิตตะ เวลธ์ จำกัด ที่ผ่านมา อย่างกองทุนส่วนบุคคล “Jitta Ranking เวียดนาม” ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยให้ผลตอบแทนรวมย้อนหลัง 1 ปี (ตั้งแต่เดือนพ.ค. 2563-2564) สูงถึง 93.47% สูงกว่าดัชนีผลตอบแทนรวมของตลาดหุ้นเวียดนาม (Vietnam Index Total Return - VNI TR) ที่ทำได้ 56.33% หรือ มากกว่า 37.14% ในช่วงเวลาเดียวกัน
สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นจีนนั้น ขณะนี้เป็นจังหวะที่ดีในการลงทุนหุ้นจีน หลังตลาดปรับฐานลงมาแล้วกว่า 10% จากจุคพีคเมื่อต้นปี เพราะถ้ามองในระยะยาวหุ้นจีนยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก ด้วยพื้นฐานเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ชาติฉบับล่าสุดที่รัฐบาลจีนตั้งเป้าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วง 5 ปีข้างหน้าไว้ที่ 6% ต่อปี และแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศแรกที่พบผู้ติดเชื้อโควิด-19 แต่ก็เป็นประเทศแรกที่ฟื้นตัวจากโรคระบาดเช่นกัน มาวันนี้จีนน่าจะคุมโควิด-19 ได้แล้ว หลังพบผู้ติดเชื้อแค่หลักหน่วยต่อสัปดาห์เท่านั้น ส่วนการฉีดวัคซีนคืบหน้าไปมาก ครอบคลุมจำนวนประชากรกว่า 40%
สุดท้ายการลงทุนใดๆ ผู้ลงทุนควรเข้าใจในตลาดที่เราลงทุน การเติบโต ปัจจัยเสริมและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ และเลือกหลักการที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นแบบ Active Fund หรือ Passive Fund ยิ่งไปกว่านั้น การลงทุนในตลาดหุ้นจีนในแต่ละช่วงเวลาจะมีความผันผวนค่อนข้างสูง แต่หากมองข้ามช็อต เรามั่นใจว่าจีนมีศักยภาพที่จะเติบโตไปได้อีกไกล มีโอกาสเป็นประเทศมหาอำนาจของโลกในอนาคต ดังนั้นการลงทุนระยะยาว ที่ไม่ต้องซื้อขาย หรือเข้าออกบ่อยๆ ก็อาจจะทำผลตอบแทนได้ดีกว่า อีกทั้งการเลือกกองทุนที่มีค่าธรรมเนียมถูกก็จะส่งผลให้ผลตอบแทนทบต้นเติบโตได้เร็วขึ้นอีก
สำหรับนักลงทุนไทยที่สนใจลงทุนหุ้นจีน ถือว่ามีทางเลือกที่หลากหลาย แต่ละกองทุนมีจุดเด่นที่ต่างกันออกไป ขณะที่การนำเทคโนโลยี AI มาใช้เลือกหุ้นจีนพื้นฐานดี ในราคาที่เหมาะสม ดูเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ ยังมีกองทุนน้อยรายที่นำเทคโนโลยี AI มาช่วยในการจัดพอร์ต อีกทั้งยังทำผลตอบแทนได้ดี แต่ทั้งนี้คงต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนักลงทุนแต่ละท่านในการเลือกกองทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง