กูรู 'สินทรัพย์ดิจิทัล' ไขคำตอบปั้นเหมือง'ขุดบิทคอยน์' ในไทยสำเร็จได้หรือไม่
กูรู "สินทรัพย์ดิจิทัล"ไขโอกาสกรณี JAS ส่ง JTS ลุยปั้นเหมืองขุดบิทคอนย์ในไทย ชี้มีทั้งโอกาสทำสำเร็จ แต่ยังเสี่ยงพลาดเป้าได้เช่นกัน ย้ำถ้าบริหารต้นทุนและเทรดในตลาดที่ดี สร้างกำไรได้อย่างเร็ว3-6 เดือนหรือช้าสุด1ปีครึ่ง ช่วยกระจายอำนาจจากจีน
หลังจากวานนี้(23ก.ค.) ทาง บริษัท จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ JAS ได้ประกาศ ส่ง บริษัท จัสมิน เทเลคอม ซิสเต็มส์ จำกัด (มหาชน)หรือ JTS ลุยธุรกิจ"ขุดบิทคอยน์"
ขณะนี้ติดตั้ง-เดินเครื่องขุดBitcoin แล้ว และจะเพิ่มอีก 500 เครื่องในไตรมาส 3ปีนี้ ตั้งเป้าปี2567 เป็นศูนย์กลาง Bitcoin Mining Farm ใหญ่สุดในSoutheast Asia มีเครื่องขุดเป็น 50,000 เครื่อง สามารถขุด Bitcoin ได้ไม่น้อยกว่า 16,000 BTC ต่อปี
แต่ปรากฎว่าวานนี้ "ราคาหุ้น JAS และ JTS" ปรับขึ้นอีกเพียงเล็กน้อยในช่วงเปิดตลาดก่อนปรับลงจนปิดตลาด "ต่ำกว่าราคาปิดตลาดวันก่อนหน้า" สะท้อนว่า น่าจะ ยังพอมีแรงเทขายทำกำไรต่อเนื่อง
จากเมื่อ 3 วันที่ผ่านมานี้ ราคาหุ้นJTS ลากขึ้นมาถึง2,000% แล่ว โดยมีกระแสข่าว JTS เกี่ยวกับดีลการเตรียมความพร้อมรองรับธุรกิจคลาวด์พิวติ้ง และดาต้าเซ็นเตอร์ อีกทั้ง JTS ชี้แจงในประเด็นเดิมและเพิ่มความสนใจในธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ามาเป็นเรื่องใหม่ เป็นที่มาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงลบข้อมูลดังกล่าวออกไปในวันเดียกันจนมีความชัดเจนวานนี้
วานนี้ ราคาหุ้น JAS ปิดตลาดที่ 2.94 บาท ปรับลดลง3.29% หรือ 0.10 บาท จากราคาวันก่อนหน้า 3.04 บาท โดยราคาเปิดตลาดที่ 3.06 บาท เป็นราคาสูงสุดและต่ำสุดที่2.90บาท มูลค่าการซื้อขาย 152 ล้านบาท
ขณะที่ราคาหุ้น JTS ปิดตลาดที่ 51.75บาท ปรับลดลง2.36% หรือ 1.25บาท จากราคาวันก่อนหน้า53.00บาท โดยราคาเปิดตลาดที่ 55.75 บาท มีราคาสูงสุดที่ 56.25 บาท และต่ำสุดที่ 50.25 บาท มูลค่าการซื้อขาย 59.20ล้านบาท
ทางด้านกูรูวงการ "สินทรัพย์ดิจิทัล" มีความเห็นต่อการเข้ามาลงทุนธุรกิจ "ขุดบิทคอยน์" ของJTS โดยJAS ในครั้งนี้ว่า มีโอกาสสำเร็จตามเป้าหมาย แต่ก็มีความเสี่ยงพลาดเป้าได้เช่นกัน ซึ่งต้องพิจารณาถึงรูปแบบบริการจัดการที่ดี ทั้งในแง่ของต้นทุนค่าไฟ การลงทุนเครื่องขุดที่มีประสิทธิภาพและการบริการจัดการเทรดบิทคอยน์ในตลาด
พร้อม ต้องเตรียมรับศึกหนักกับคู่แข่งตัวเป้งอย่างจีนที่กำลังย้ายเหมือง "ขุดบิทคอยน์" ออกมามาขยายการลงทุนในประเทศแทบภูมิภาคนี้เช่นกัน ที่จะมาแย่งชิงขุมทรัพย์ "บิทคอยน์” ทำให้อาจไม่มีโอกาสที่จะเป็นศูนย์กลาง Bitcoin Mining Farm ใหญ่สุดในSoutheast Asiaก็เป็นได้ แต่วงการก็ยังแอบหวัง "ขอให้คนไทยทำสำเร็จ"
สตางค์ ไข3 โอกาส "เหมืองขุดบิทคอยน์" สำเร็จในไทย
"ปรมินทร์ อินโสม" ผู้ก่อตั้งและกรรมการ บริษัทสตางค์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ให้บริการเว็บเทรด Satang Pro มองว่า ราคาหุ้นJAS และJTS ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยก่อนปรับตัวลงในวานนี้ (23 ก.ค.) สะท้อนว่า นักลงทุนในตลาดเพียงบางส่วนเท่านั้นตื่นเต้นกับธุรกิจขุดบิทคอยน์แล้วคงมีแรงขายทำกำไรมาบ้าง
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจ "ขุดบิทคอยน์" ในไทย สามารถทำได้ กฎหมายไทยไม่ได้ห้ามเหมือนจีน ซึ่งตอนนี้จะเห็นว่า จีนซึ่งเป็น เจ้าเหมืองขุดบิทคอยน์ เริ่มหาพันธมิตรและย้ายเหมืองเข้ามาในแทบภูมิภาคนี้ หลังจากโดนรัฐบาลจีนกวาดล้างและทำให้ราคาบิทคอยน์ดิ่งลงในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มองว่า ฟาร์มขุดบิทคอยน์ในไทย มีโอกาสทำกำไรได้ใน3-6 เดือน แม้ว่าไทยจะเป็นเมืองร้อนกว่าจีน อาจมีต้นทุนเรื่องค่าไฟมหาศาล เพราะจะเห็นได้ว่า ฟาร์มขุดบิทคอยน์ในจีนส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเมืองหนาว หรือเจ้าของมีโรงไฟฟ้าของตนเอง ดังน้ัน ประเด็นแรก จึงขึ้นอยู่กับ "การควบคุมต้นทุน" ทำแบบไหนแล้วคุ้มทุน สร้างกำไรได้
ประเด็นต่อมา อยู่ที่ "เทคโนโลยีเครื่องขุด" ใช้เทคโนโลยีอะไรและสามารถส่งมอบเทคโนโลยีนั้นได้กำหนดระยะเวลาหรือไม่ เพราะประสิทธิภาพของเครื่องขุดพัฒนาไปเร็วมาก หากส่งมอบไม่ทันโอกาสในการขุดเพื่อขายทำกำไรก็ลดลง
ประเด็นสุดท้าย "รับมือเหมืองขุดบิทคอยน์จีน" ที่กำลังขยายความร่วมมือกับผู้เล่นรายอื่นๆ ซึ่งอาจมีกำลังมากกว่า เข้ามาแย่งตลาด หากเราช้ากว่า ราคาเหรียญขึ้นไปมาก แต่ยังขุดได้น้อย ก็เป็นความเสี่ยงทำให้มีโอกาสที่จะขุดบิทคอยน์ต่ำกว่าเป้าหมายวางไว้ที่ 16,000BTCได้ ก็ต้องรอประเมินอีกครั้ง
แต่อย่างไรก็ตาม "ปรมินทร์" กล่าวว่า การลงทุนของ JAS มีโอกาสสำเร็จได้ น่าจะมีการศึกษาความเป็นไปได้ของการลงทุนที่ดีมาแล้วว่า สามารถทำในไทยได้ จึงตัดสินใจลงทุนในครั้งนี้และน่าจะมีรูปแบบการขายบิทคอยน์ที่ขุดออกมาสะสมไว้เพื่อหาจังหวะขายผ่านเอ็กเชนจ์เทรดสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดต่างประเทศ แลกเป็นเงินดอลลาร์ก่อนแล้วค่อยแลกกลับเป็นเงินบาทมากกว่า น่าจะสร้างรายได้ที่ดีได้
“เราไม่ได้เซอร์ไพรส์เรื่องขุดบิทคอยน์ แต่เราเซอร์ไพรส์ว่า ธุรกิจที่ควรจะลงทุนขุดบิทคอยน์ น่าจะเป็นธุรกิจโรงไฟฟ้าที่ผลิตเองได้หรือมีไฟฟ้าเหลือ จะเหลือแต่ลงทุนตัวเครื่องขุดเท่านั้น แต่ใช่ว่าธุรกิจอื่นจะลงทุนไม่ได้ มองว่า คงมีการศึกษาความเป็นไปได้การลงทุนที่เห็นโอกาสสร้างรายได้จริงๆ”
แนวโน้มราคา "บิทคอยน์" หลังจากนี้ "ปรมินทร์" กล่าวว่า ยังปรับขึ้นต่อได้ เนื่องจากยังเห็นว่ามีความเป็นได้ที่จะอ่อนค่า และเพียงยังรอปัจจัยใหม่ เพราะในช่วงนี้ที่ตลาดเกิดความกังวลโควิด-19 สายพันธุ์เดลต้ารอบนี้จะแพร่ระบาดรุนแรงแค่ไหนทั้งในและต่างประเทศ
ทำให้ตลาดการลงทุนทุกสินทรัพย์ ซึ่งไม่ใช่เฉพาะสินทรัพย์ดิจิทัลเท่านั้น ได้รับผลกระทบหมดมีการปรับฐานลงมา หลังจากราคาปรับตัวขึ้นไปสูงมากแล้วก่อนหน้านี้ และช่วงนี้นักลงทุนเน้นถือเงินสดมากกว่าเพื่อรอดูความชัดเจนประเมินสถานการณ์ก่อน
ซิปเม็กซ์ ชี้ "เหมืองขุดบิทคอยน์"
ยังสร้างผลตอบแทนดี 4-5ปีข้างหน้า
"เอกลาภ ยิ้มวิไล" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิปเม็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ให้บริการศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เปิดเผยว่า การลงทุนของJASเข้ามาขุดบิทคอยน์นั้นเป็นเรื่องที่ดี ทำให้มีผู้เล่นรายใหญ่ในไทย เกิดการกระจายตัวอำนาจของตลาดมากขึ้น เพราะผู้เล่นหลักของธุรกิจนี้คือจีน
หวังเพียงแต่ว่า ผู้ลงทุนในธุรกิจนี้จะมีการใช้พลังงานทดแทนเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมและลดโลกร้อน เพราะเป็นธุรกิจที่ใช้ไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก
ขณะที่การลงทุนดังกล่าวในไทยน่าจะสำเร็จได้ โดยประเมินว่า ต้องใช้ระยะเวลาคุ้มทุนราว1ปีถึง1ปีครึ่งเริ่มมีกำไร ซึ่งแนวโน้มราคาบิทคอยน์ใน4-5ปีข้างหน้ามีโอกาสเพิ่มขึ้น น่าจะสร้างผลตอบแทนที่ดีได้
โดยต้องขึ้นกับ การบริหารจัดการการลงทุนที่ดีด้วย ทั้งเทคโนโลยีเครื่องขุด และต้นทุนค่าไฟ รวมถึงการบริหารจัดการซื้อขายบิทคอยน์ออกสู่ตลาดในจังหวะเวลาที่ดี ไม่เช่นนั้นจะเป็นความเสี่ยงที่ทำให้มีโอกาสต่ำกว่า16,000BTCในเวลาที่ตั้งเป้าหมายไว้ได้เพราะในอนาคตก็บริษัทขนาดใหญ่ที่ร่วมทุนกับกลุ่มจีน เข้ามาขุดบิทคอยน์ในภูมิภาคนี้ได้เช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนที่ขนาดใหญ่กว่านี้ได้
"ยังเชื่อว่าการลงทุนขุดบิทคอยน์ นักลงทุนในตลาดน่าจะตอบรับที่ดี เพราะในระยะ2-3ปีข้างหน้ายังมีอนาคตที่ดี ขึ้นกับว่าบริษัทนั้นจะบริหารจัดการออกมาในรูปแบบไหน"
สำหรับ"ราคาบิทคอยน์" ตอนนี้ แม้มีการปรับฐานลงทุนตั้งแต่ปลายปีก่อนจนถึงเดือนเม.ย.ที่ราคาปรับขึ้นมาสูงอย่างรวดเร็ว แต่คาดว่าอีกไม่นานน่าจะกลับเป็นขาขึ้นได้ต่อเหมือนเดิม
"เพราะที่ผ่านกลุ่มเหมืองขุดบิทคอยน์ในจีน เริ่มทำการย้ายเหมืองกันก่อนหน้านี้ ทำให้บิทคอยน์โดยขายออกมาเยอะ แต่ตอนนี้ทางสถาบันการเงินรายใหญ่ชั้นนำของโลกอย่างเจพีมอร์แกนและโกลด์แมน แซคส์ที่เข้ามาในตลาดนี้มากขึ้น ทำให้ตลาดนี้มีพื้นฐานที่แน่นมากขึ้น คาดว่าตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลยังเติบโตต่อไปได้ในระยะ6-12เดือนข้างหน้า"