ซีอีโอ ASIAN ขายหุ้นมากที่สุดในรอบสัปดาห์โกยเงินกว่า 102 ล้านบาท หลังราคาพุ่งออลไทม์ไฮ
"สมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล" ซีอีโอ บมจ.เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น (ASIAN) ขายหุ้นมากที่สุดในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โกยเงินเข้ากระเป๋าไป 102.50 ล้านบาท คาดทำกำไรหลังราคาหุ้นพุ่งออลไทม์ไฮ โดยปีนีทะยานขึ้นมาแล้วเกือบ 200%
ข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ระบุว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (27, 29-30 ก.ค.) นายสมศักดิ์ อมรรัตนชัยกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 บริษัท เอเชี่ยนซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ASIAN รายงานขายหุ้นออกมามากที่สุด โดยขายหุ้น ASIAN ทั้งหมด 5 ล้านหุ้น ที่ราคาหุ้นละ 20.50 บาท คิดเป็นมูลค่ารวม 102.50 ล้านบาท โดยเป็นการทำรายการผ่าน บล.โนมูระ พัฒนสิน
ทั้งนี้ หลังทำรายการส่งผลให้ถือหุ้นเหลือ 409,422,506 ล้านหุ้น จากก่อนทำรายการที่ถือหุ้นอยู่ทั้งหมด 414,422,506 ล้านหุ้น โดยยังคงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับ 1 ของบริษัทต่อไป
การขายหุ้นครั้งนี้คาดว่าจะเป็นการขายทำกำไร หลังราคาหุ้น ASIAN ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างร้อนแรง เดินหน้าทำระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
โดย ราคาหุ้นในเดือน มิ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.68% จากราคา 14.30 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 16.40 บาท โดยราคาสูงสุดที่ 16.60 บาท ต่ำสุดที่ 13.90 บาท ขณะที่เดือน ก.ค. ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้น 16.86% จากราคา 16.60 บาท เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 19.40 บาท โดยราคาสูงสุดที่ 21.40 บาท ต่ำสุดที่ 16.10 บาท
หากย้อนดูราคาหุ้น ASIAN ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ปรับตัวขึ้นมาแล้วกว่า 197% จากราคาปิดปี 2563 ที่ระดับ 6.53 บาท รับอานิสงส์จากภาคการส่งออกที่ขยายตัวต่อเนื่อง
ขณะที่ก่อนหน้านี้ เอกกมล ประสพผลสุจริต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการเงิน ระบุว่า บริษัท เตรียมพิจารณาปรับประมาณการรายได้รวมปี 2564 โดยคาดว่ารายได้รวมจะเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% หรือมีรายได้รวมแตะ 9,500 ล้านบาท โดยที่ยอดขายและอัตรากำไรกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและอาหารพร้อมปรุงแช่เยือกแข็งคาดว่าดีกว่าเป้า ขณะที่กลุ่มทูน่าและอาหารสัตว์น้ำมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งอาจส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าเป้าเดิมที่ประมาณไว้ที่ 14-15%
ส่วนภาพรวมธุรกิจในช่วงครึ่งหลังปี 2564 มองว่ายอดขายยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ค่อนข้างดี ทั้งในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยงที่ขยายตัว ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับความต้องการผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น และกำลังซื้อที่เริ่มฟื้นตัว ทำให้ในปัจจุบันกลุ่มลูกค้ายังคงมีการส่งคำซื้อให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงมองหาโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในโซนเอเชียและยุโรป