AQUA รับพิษโควิดและDigital Disruptionทำกำไรลด92%
AQUA รับโควิด-19 และ Digital Disruption กระทบภาพรวมธุรกิจหนัก โดยมีรายได้ 210 ล้านบาท ลดลง 63 % ส่งผลกำไรลดลง 92%
บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA รายงานผลการดำเนินงานของบริษัทประจำไตรมาสที่ 3/2564 โดยมีรายได้รวมจากการประกอบธุรกิจและการลงทุนจำนวน 210.21 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 359.79 ล้านบาท หรือลดลง 63% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิ 28.28 ล้านบาท ลดลงถึง 92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่กำไรสุทธิ 362.94 ล้านบาท
ผลดำเนินงานดังกล่าวได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และมาตรการล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีเป็นต้นมา
ทั้งนี้ บริษัท AQUA ประกอบธุรกิจหลักคือลงทุนในธุรกิจที่ทำรายได้อย่างสม่ำเสมอแบ่งเป็น 3 กลุ่มธุรกิจได้แก่ 1.)ธุรกิจพลังงาน 2.)สื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) และ 3.)อสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและบริการ
โดยตั้งแต่ปี 2563 บริษัทได้ปรับแผนในการดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาของกลุ่มบริษัท ให้บริษัทฯ เป็นผู้บริหารการขายและจัดการสื่อโฆษณาทั้งหมด ภายใต้แบรนด์ AQUA รวมถึงการปรับโครงสร้างการบริหารด้านต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแผนธุรกิจดังกล่าว
ด้วยทุกธุรกิจของบริษัทต้องพึ่งพากิจกรรมทางสังคมเป็นหลัก ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ขยายวงกว้างขึ้นอย่างต่อเนื่องและมาตรการล็อกดาวน์ส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมส่วนใหญ่
สถานการณ์ดังกล่าวนำมาซึ่งความไม่แน่นอนและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมของการดำเนินธุรกิจเช่น ธุรกิจสื่อนอกบ้านที่กลุ่มลูกค้าระงับหรือตัดค่าใช้จ่ายเพื่อการประชาสัมพันธ์ออกทำให้บริษัทมีรายได้จากงานขายโฆษณาน้อยลง ไม่เป็นไปตามคาดแม้จะปรับตัวสู่แพลตฟอร์มโฆษณารูปแบบใหม่ๆเพื่อดึงดูดความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภค
ในขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและบริการ แม้จะมีจำนวนลูกค้าหรือผู้เช่าอยู่ในมือตามเดิม หากแต่บริษัทต้องปรับลดอัตราค่าเช่าของ warehouse ลงตามมาตรการผ่อนปรนช่วยเหลือผู้เช่า ซึ่งทำให้รับรู้รายได้จากการให้เช่าและบริการลดลง
บริษัทรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในธุรกิจพลังงานที่ลงทุนผ่าน บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP น้อยลงในไตรมาสที่ 3/2564 คิดเป็นส่วนแบ่งกำไร 47.06 ล้านบาท ลดลง 87% เมื่อเทียบกับปี 2563 ซึ่งสาเหตุหลักมาจากธุรกิจพลังงาน มีรายได้ลดลงจากการจำหน่ายโครงการผลิตไฟฟ้าไปหลายโครงการในปี 2563 และมีการบันทึกผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นในไตรมาสนี้เพิ่มขึ้น แต่บริษัทยังมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและให้ผลตอบแทนที่ดีได้แก่ทั้งกลุ่มในระยะยาว
ทั้งนี้ ฝ่ายบริหารของบริษัทฯ และบริษัทย่อย ได้เฝ้าติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์โดยรวมและประเมินผลกระทบต่อการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันสถานการณ์ในประเทศเริ่มคลี่คลายลงและยกเลิกมาตราการล็อคดาวน์แล้ว แต่บริษัทจะยังคงเฝ้าระวังและวางแผนการบริหารธุรกิจให้รัดกุมมากขึ้นรวมถึงหาโอกาสสร้างหรือปรับตัวให้แก่องค์กรอย่างเหมาะสมเพื่อเตรียมความพร้อมต่อสถานการณ์ที่ไม่อาจคาดเดาในอนาคต