กองทุนปรับพอร์ต โยกกลับหุ้นโกรท -หุ้นปลอดภัย สู้โอไมครอน
“กองทุน” ปรับพอร์ต หลังโควิดสายพันธุ์โอไมครอน ระบาด บลจ.ทิสโก้ หันลงทุนหุ้นเทคฯ -หุ้นพลังงานสะอาด หนีหุ้นเปิดเมืองบลจ.ยูโอบี เผยขายทำกำไรกลุ่มธนาคาร-พลังงาน ถือเงินสด รอจังหวะทยอยสะสมหุ้นเด่นรอบใหม่ บล.ทรีนีตี้ ชี้กรณีเลวร้ายดัชนีหลุด 1,550 จุด
ความเคลื่อนไหวดัชนีหุ้นไทยวานนี้ (29 พ.ย.)ปรับตัวลงตั้งแต่เปิดตลาด โดยร่วงหนักในช่วงบ่าย โดยทำจุดต่ำสุดที่ 1587.78 จุด ก่อนที่จะกลับมาเปิดตลาดที่ 1,589.69 จุด ลดลง 20.92 จุด หรือ 1.30% มูลค่าซื้อขาย 115,806.02 ล้านบาท จากความกังวลโอไมครอน นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 4,370.36 ล้านบาท สถาบันในประเทศขายสุทธิ 3,368.48 ล้านบาท บริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,070.54 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปในประเทศซื้อสุทธิ 8,809.38 ล้านบาท
นายสาห์รัช ชัฏสุวรรณ ผู้อำนวยการสายการตลาด และที่ปรึกษาการลงทุน บลจ. ทิสโก้ เปิดเผยว่า บริษัทได้มีการปรับพอร์ตการลงทุน โดยสลับเปลี่ยนกลุ่มลงทุนหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ จากหุ้นเปิดเมือง มาลงทุนหุ้นเติบโตในกลุ่มเทคโนโลยี เช่น 5 จี เฮลธ์เทค พลังงานสะอาด และหุ้นปันผล
ทั้งนี้บริษัทยังคงมุมมองดัชนีหุ้นไทยปลายปีนี้ไม่หลุด 1,550 จุด แนวต้านที่ 1,600 จุด และมีมุมมองเชิงบวกในปีหน้าที่ระดับ 1,750จุด จีดีพีปีหน้าโต 3-4% แม้ท่องเที่ยวจะดีเลย์การฟื้นตัวเศรษฐกิจ ไม่กระทบจีดีพี ยกเว้นจะกลับมาล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ ความเสี่ยงโควิด-19 สายพันธุ์ โอไมครอนยังต้องเฝ้าระวังจนกว่าจะมีข้อมูลชัดเจน
นางสาวธิดาศิริ ศรีสมิตรองกรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการลงทุนบ บลจ.กสิกรไทย กล่าวว่า ระยะสั้นยังต้องติดตามข้อมูลความรุนแรงและการระบาดโควิดสายพันธุ์ใหม่โอไมครอน รวมทั้งประสิทธิภาพของวัคซีนและการรักษาที่มีอยู่ในปัจจุบันและอยู่ในระหว่างการวิจัยพัฒนาที่มีต่อสายพันธุ์ใหม่ดังกล่าว คาดว่าจะทราบข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นในช่วง2สัปดาห์ข้างหน้า
ดังนั้นการปรับตัวลงของตลาดหุ้นไทยในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นโลก โดยกลยุทธ์การลงทุนหุ้นไทยของเรามองเป็น จังหวะที่จะเข้าลงทุนหุ้นกลุ่มสื่อสารกลุ่มแบงก์และไฟแนนซ์กลุ่มค้าปลีกกลุ่มท่องเที่ยว และเฮลธ์แคร์ โดยในระยะ 12 เดือนข้างหน้ายังมีมุมมองบวกต่อหุ้นไทยที่1,850 จุด
นายจิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ. ยูโอบี กล่าวว่า ด้วยราคาหุ้นและความเสี่ยงโอไมครอนในปัจจุบัน กลยุทธ์การลงทุนหุ้นของเรายังเน้นถือเเงินสดระดับ 10-20% โดยตลาดหุ้นปรับฐานลงมาเป็นจังหวะทยอยสะสมหุ้นเด่นรอบใหม่ ได้แก่กลุ่มหุ้นปลอดภัย เฮลธ์แคร์และหุ้นปันผล ซึ่งชะลอลงทุนหุ้นกลุ่มเปิดเมือง และขายทำกำไรกลุ่มธนาคารและพลังงาน ส่วนหุ้นต่างประเทศเพิ่มการลงทุนหุ้นทคโนโลยีใหญ่ในสหรัฐและกลุ่มการเงินในประเทศพัฒนาแล้วที่ราคาไม่แพงเช่นยุโรปและญี่ปุ่น
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ.กรุงไทย กล่าวว่า บริษัทได้มีการปรับพอร์ต โดยถือเงินสดเพิ่มขึ้นในวันแรกหลังจากโอไมครอนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยและหุ้นทั่วโลก พร้อมกับยังไม่รีบร้อนเข้าลงทุนจนกว่าจะมีข้อมูลประสิทธิภาพของวัคซีนที่ชัดเจน
โดยช่วงตลาดปรับฐานลงมาและมีความผันผวน หาจังหวะเข้าซื้อบางตัวและเปลี่ยนกลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากโควิดรอบใหม่ (เฮลธ์แคร์) กลุ่มหุ้นปลอดภัย(ปันผล) และกลุ่มหุ้นแลกการ์ด (เทคโนโลยี) แต่หากโอไมครอนไม่รุนแรง มีวัคซีนได้ต้นปีหน้า หุ้นได้ประโยชน์จะกลับมาในธีมดอลลาร์แข็งค่า เช่น หุ้นยุโรปและญี่ปุ่น รวมถึงกลุ่มเปิดเมืองทั้งหุ้นไทยและต่างประเท
ขณะที่มุมมองดัชนีหุ้นไทยปีนี้ยังยืนที่แนวต้าน 1,640 จุด และแนวรับ 1,560-1,570 ส่วนปีหน้าที่ 1,740 จุด ผลตอบแทนหุ้นไทยใกล้เคียงกับหุ้นต่างประเทศที่ ระดับ 8-9%
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยวานนี้ ปรับตัวลงต่อเนื่องหลุดแนวรับสำคัญ 1,600 จุด จากความกังวลโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน และปรับตัวลงตามดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์สที่เริ่มย่อตัว
ขณะที่แนวโน้มดัชนีในช่วง 1-2 สัปดาห์นี้ คาดว่าจะยังผันผวนระหว่างรอความชัดเจนโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ในกรณีฐาน (Base Case) หรือวัคซีนเดิมรับมือได้คาดตลาดจะคลายความกังวล แต่ระหว่างทางดัชนีอาจปรับตัวลงทดสอบ1,580-1,550 จุด โดยกรณีฐานรวมมาตรการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ แต่ไม่รวมการควบคุมการเดินทางภายในประเทศ
แต่ในกรณีเลวร้าย (Worst Case) หรือวัคซีนเดิมรับมือไม่ได้จะส่งผลให้เกิดความเสี่ยงหลายอย่างตามมา เช่น การพัฒนาวัคซีนเฉพาะสูตร หรือการฉีดบูสเตอร์โดสเข็ม 4 และ 5 ฯลฯ ซึ่งไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จได้ภายในระยะเวลาอันสั้น และเป็นความเสี่ยงที่นำไปสู่การล็อกดาวน์อีกครั้ง ในกรณีเลวร้ายคาดว่าดัชนีจะปรับลงหลุด 1,550 จุด