บลจ.บีแคป ชี้ตลาดกังวลโอมิครอน จังหวะดีซื้อกองลดหย่อนภาษีปีนี้
บลจ.บีแคป ชี้เดือน ธ.ค.ตลาดหุ้นและสินทรัพย์ทั่วโลก ปรับตัวลงจากความกังวลโอมิครอน แนะเป็นจังหวะดีในการลงทุนผ่าน 2 ซีรี่ย์กองทุนที่นอกจากเป็นโอกาสสำหรับการลงทุน และยังได้รับสิทธิลดหย่อนภาษี ผ่านกองทุน BCAP -GW SS และกองทุน BCAP Global Target Date RMF
นางเมธ์วดี ประเสริฐสินธนา กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการ กองทุน บางกอกแคปปิตอล จำกัด หรือ BCAP เปิดเผยว่า ในเดือนธันวาคมของทุกปี นับเป็นช่วงเทศกาลวางแผนภาษี โดยเฉพาะช่วงนี้ตลาดหุ้นและสินทรัพย์หลายประเภทมีความผันผวน และปรับตัวลดลงมาค่อนข้างมาก เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ "โอมิครอน”ซึ่งถือเป็นจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุน กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) คุณภาพดีที่มีผลการดำเนินงานดีสม่ำเสมอ เพื่อนำไปลดหย่อนภาษีปี2564 ซึ่งเหลือเวลาลงทุนอีกไม่ถึงเดือน
ทั้งนี้ บลจ.บีแคป ขอแนะนำ ซีรี่ย์กองทุนเปิด บีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP -GW SSF)ทั้ง 5 กองและ ซีรี่ย์กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCAP Global Target Date RMF) ซึ่งทั้ง2 ซีรี่ย์กองทุนนี้ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นักลงทุนในด้านการลงทุนและการวางแผนรับสิทธิประโยชน์ทางด้านการลดหย่อนภาษี
โดยกองทุนเปิด บีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ (BCAP Global Target Date RMF) ออกแบบมาให้เหมาะสมกับแผนการเกษียณของแต่ละช่วงวัยและได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร ลงทุนขั้นต่ำเพียง 500 บาท ผ่านสาขาธนาคารกรุงเทพและบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง
กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ เป็นกองทุนรวมผสม มีนโยบายการลงทุนครอบคลุมทรัพย์สินทั่วโลก กระจายการลงทุนในหลากหลายทรัพย์สินทั้งในและต่างประเทศ ทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ทรัพย์สินทางเลือก เช่น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ REITs กองทุนโครงสร้างพื้นฐาน รวมถึงทองคำ โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุนรวมและกองทุน ETF ทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารกองทุนสูงและไม่มีนโยบายจ่ายเงินปันผล เพื่อสะสมผลตอบแทนที่ได้ลงทุนต่อเนื่อง ส่วนเงินลงทุนในต่างประเทศกองทุนจะป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน
สำหรับจุดเด่นของกองทุนซึ่งเป็น กองทุน RMF ที่ปรับสัดส่วนการลงทุนให้สอดคล้องตามช่วงอายุ โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกลงทุนตามปีที่จะเกษียณอายุผ่าน 3 ทางเลือกกองทุน ได้แก่ BCAP2030RMF สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณช่วงปี ค.ศ.2025-2035 (พ.ศ. 2568-2578) , BCAP2040RMF สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณช่วงปี ค.ศ.2036-2045 (พ.ศ. 2579-2588) และ BCAP2050RMF สำหรับผู้ที่วางแผนเกษียณช่วงปี ค.ศ.2046-2055 (พ.ศ. 2589-2598) นอกจากนี้แต่ละกองทุนจะมีทีมผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละสินทรัพย์คอยดูแลอย่างใกล้ชิดในการปรับพอร์ตการลงทุนและติดตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง เพื่อปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะสม โดยไม่ต้องกังวลกับตลาดที่มีความผันผวนค่อนข้างสูง
ส่วนกองทุนบีแคป โกลบอล เวลท์ เพื่อการออม (BCAP -GW SSF)เป็นกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ และลงทุนผ่านกองทุนรวมและETF ทั่วโลก ทำให้มีความคล่องตัวในการบริหารกองทุนสูง
"กองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ มีนโยบายลงทุนเหมือนกับกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล เวลท์ (BCAP Global Wealth : BCAPGW) ซึ่งมีนโยบายการลงทุนครอบคลุมทรัพย์สินทั่วโลกเช่นเดียวกัน แต่ต่างกันที่แนวทางการบริหารทรัพย์สิน ซึ่งกองทุน BCAP Global Wealth เป็นเหมือนพอร์ตการลงทุน ที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงตามระดับความเสี่ยงที่นักลงทุนรับได้ ขณะที่กอง RMF นี้กำหนดสัดส่วนของแต่ละทรัพย์สินให้เหมาะสมกับช่วงอายุของผู้ลงทุนหรือเป้าหมายของผู้ลงทุน "นางเมธ์วดี กล่าว
ปัจจุบันประเทศไทยมีแนวโน้มเป็นสังคมผู้สูงอายุมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นการวางแผนเกษียณจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่คนแต่ละช่วงอายุมีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมและความเสี่ยงที่รับได้แตกต่างกัน การมีกองทุนที่จัดพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับแต่ละช่วงอายุและสอดคล้องกับแผนการเกษียณจึงเป็นตัวช่วยที่ตอบโจทย์ผู้ลงทุน สำหรับผู้ที่อายุยังน้อย มีเวลาในการลงทุนมากควรเน้นลงทุนในทรัพย์สินเสี่ยง เพื่อสร้างโอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว ส่วนผู้ที่ใกล้เกษียณอายุต้องเพิ่มการลงทุนในทรัพย์สินมั่นคง เพื่อเน้นรักษาเงินต้น ซึ่งรูปแบบการลงทุนดังกล่าวถูกออกแบบผ่านกองทุนเปิดบีแคป โกลบอล ทาร์เก็ต เดท เพื่อการเลี้ยงชีพ ตอบโจทย์ทุกวัย
สำหรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเมื่อปฏิบัติตามเงื่อนไขของกรมสรรพากร โดย "กองทุน RMF" สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินและวงเงินลงทุนได้ไม่เกิน 500,000 บาท โดยต้องนับรวมกองทุนเพื่อการออม (SSF) วงเงินปกติ และการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ โดยต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี นับตั้งแต่ซื้อครั้งแรก (นับแบบวันชนวัน) และขายคืนได้เมื่อถือจนอายุ 55 ปีบริบูรณ์
ในส่วนของกองทุน SSF สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมินและวงเงินลงทุนได้ไม่เกิน 200,000 บาทและต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปี (นับแบบวันชนวัน)