“พล.ต.อ.จักรทิพย์” แถลงบึ้มเผยสองมือวางบอมบ์ป้าย สตช. เคยบุกฐานนาวิกฯภาคใต้ แง้มมีคนร้ายหนีนอกประเทศ
จากกรณีคนร้ายลอบวางระเบิดรอบพื้นที่กรุงเทพฯ ต่อเนื่อง จ.นนทบุรี รวมทั้งหมด 5 จุด 9 ลูก และเหตุเพลิงไหม้อีก 7 จุด ในตลาดย่านประตูน้ำและศูนย์การค้าย่านสยามสแควร์ ห้วงวันที่ 1-2 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยตำรวจสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้แล้วหลายรายนั้น
เมื่อเวลา 13.25 น. วันที่ 8 สิงหาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) พร้อมคณะทำงานสืบสวนสอบสวนคดีบึ้มป่วนกรุงฯ ประกอบด้วย พล.ต.อ.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รอง ผบ.ตร.,พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จตช.,พล.ต.ท.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผช.ผบ.ตร.,พล.ต.ท.สุทธิพงษ์ วงษ์ปิ่น ผบช.น.,พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผบช.ก.,พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผบช.กมค.,พล.ต.ท.พนมพร อิทธิประเสริฐ ผบช.สพฐ.,พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.จิรภพ ภูริเดช ผบก.ป.,พล.ต.ต.ธวัชชัย เมฆประเสริฐสุข รอง ผบช.สพฐ.และ พ.ต.อ.กำธร อุ่ยเจริญ รอง ผบก.สปพ.ร่วมแถลงความคืบหน้าของคดี หลังวานนี้(7 สิ.ค.) ผบ.ตร.ได้ไปร่วมสอบปากคำนายลูไอ แซแง อายุ 22 ปี และ นายวิลดัน มาหะ อายุ 29 ปี สองผู้ต้องสงสัยที่นำระเบิดมาวางใต้ป้ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนถูกจับกุมได้ที่ จ.ชุมพร และนำไปควบคุมตัวที่ศูนย์พิทักษ์สันติ ศปก.ตร.สน.จังหวัดยะลา
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวว่า นับแต่เกิดเหตุช่วงวันที่ 1-2 สิงหาคมที่ผ่านมา ตำรวจได้ทำงานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคดีนี้ต้องใช้เวลา แม้จะคุมตัวคนร้ายได้ใน 10 ชั่วโมง แต่วิธีการซักถามต่างๆ ให้รู้ถึงขั้นตอนทั้งหมดนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย จึงขอให้เข้าใจการทำงานของตำรวจต้องรัดกุมในทุกกระบวนการ เพราะคนร้ายไม่ได้โง่ หากให้ข้อมูลไปอาจไหวตัวหนีไปได้
พล.ต.อ.จักรทิพย์ กล่าวต่อ กรณีนี้ ขอยกตัวอย่างแคมเปญหาเสียงพรรคพลังประชารัฐ ”เลือกสงบจบที่ลุงตู่” มาขยายความว่าหมายถึงเรื่องม็อบขนาดใหญ่ ทั้ง 2 กลุ่มเสื้อสี ที่ผ่านมา 5 ปี ไม่มีเหตุแบบนี้แล้ว มีคนกล่าวหาว่ารัฐบาลทำเอง ตนถามกลับว่า รัฐบาลจะดิสเครดิตตัวเองทำไม เช่นเดียวกับที่ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ.พูดว่า ผู้ก่อเหตุเป็นคนหน้าเดิมนั้นก็ไม่ผิด นั่นหมายความว่าเป็นกลุ่มเดิมที่ก่อเหตุทางภาคใต้ แต่จะเป็นกลุ่มบีอาร์เอ็น หรือมาราปาตานี หรือกลุ่มอื่นๆ ในภาคใต้นั้นยังไม่สามารถระบุได้ เพราะกลุ่มดังกล่าวไม่เคยประกาศว่าตัวเองเป็นคนทำ ขออย่าเพิ่งไปตีความกันเอง ทั้งนี้ ที่ต้องควบคุมตัวลงภาคใต้นั้น เพราะทั้งคู่มีประวัติคดีในฐานข้อมูลเคยเข้าตีฐานนาวิกโยธิน ส่วนคำให้การของคนร้ายนั้น ก็ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา โดยหนึ่งในนั้นยอมรับว่าในวันก่อเหตุวางระเบิดหน้าป้าย ตร.ก็ยังเกี่ยงกันวาง และบางจุดที่นำไปวางก็ไม่ได้หวังผลเอาชีวิต
อย่างไรก็ตาม จากภาพวงจรปิดจะเห็นว่าคนร้ายแบกกระเป๋าเป้ที่ใบใหญ่มา ในนั้นมีเสื้อผ้า กางเกง หมวก และแว่นตาอย่างละ 5 ชุด ที่คนร้ายนำมาเปลี่ยน ขอฝากพี่น้องประชาชนว่า หากพบบุคคลลักษณะต้องสงสัยสวมหน้ากากใส่แว่นตาปิดบังใบหน้า หรือมีหลักฐานภาพวงจรปิด กล้องหน้ารถต่างๆ ก็ขอให้แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้
ด้านพล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวสรุปถึงภาพรวมเหตุการณ์ทั้งหมด พบว่าได้ใช้อุปกรณ์ 2 ชนิด ชิ้นแรกคือระเบิด และอุปกรณ์ทำให้เกิดเพลิงไหม้ โดยตำรวจภูธรภาค 9 ได้จับตัวสองผู้ต้องสงสัยได้ในช่วงดึกวันที่ 1 ต่อเนื่องวันที่ 2 สิงหาคม จึงได้อาศัยอำนาจการคุมตัวตามพระราชกำหนด(พ.ร.ก.) การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากภาพรวมในคดีนี้ไม่ได้เกิดแค่เพียงพื้นที่กรุงเทพฯ เพราะยังพบว่ามีการกระจายกำลังกันออกไปหลายพื้นที่ ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงที่เกี่ยวข้องได้อาศัยอำนาจหน้าที่ตามกรอบที่กำหนด โดยตอนนี้สามารถรวบรวมหลักฐานขอศาลออกหมายจับทั้งคู่ได้แล้ว
ส่วนการสืบสวนหาตัวผู้ต้องหารายอื่นนั้น แบ่งเป็นหลายระดับ โดยกลุ่มแรก คือ มาสเตอร์มายด์ที่เป็นผู้วางแผน กลุ่ม 2 คือระดับสั่งการ คอยกำหนดขั้นตอนรายละเอียดปฏิบัติการต่างๆ รวมถึงหาตัวแนวร่วม กลุ่ม 3 คือ ผู้ช่วยเหลือสนับสนุนทั้งก่อนเกิดเหตุ ระหว่างเกิดเหตุและหลังก่อเหตุ และสุดท้ายคือ กลุ่มที่ลงมือปฏิบัติ ซึ่งเชื่อว่ามีมากกว่า 15 คน โดยกลุ่มที่ออกหมายจับก็เป็นเพียงระดับปฏิบัติเท่านั้น เบื้องต้นตำรวจแจ้งข้อหาต่อสองคนร้ายฐาน “อั่งยี่ซ่องโจร,มีวัตถุระเบิดไว้ครอบครอง และพยายามฆ่า” ต่อจากนี้ก็ต้องขยายผลถึงรายอื่นๆ ต่อไป ตอนนี้ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นกลุ่มใด แม้จะมีความเชื่อมโยงไปถึงเหตุความไม่สงบในอดีต
พล.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวต่อว่า สำหรับแรงจูงใจก่อเหตุของคนร้ายว่าหวังผลทางการเมือง หรือไม่อย่างไรนั้นยังไม่อาจบอกได้ เพราะคนร้ายในระดับปฏิบัติยังไม่ทราบแนวคิดก่อเหตุที่แท้จริง ขณะที่ผลการตรวจดีเอ็นเอของคนร้ายยังอยู่ระหว่างดำเนินการ ลำพังเพียงหลักฐานนิติวิทยาศาสตร์ไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เชื่อว่ามีผู้ต้องหาบางส่วนหลบหนีออกนอกประเทศไปแล้ว แต่ยืนยันว่ามีข้อมูลอยู่ในมือ
มีรายงานว่า ในวันนี้เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นที่พักของหนึ่งในผู้ต้องสงสัยในย่านรามคำแหง หลังมีเบาะแสว่าคนร้ายได้นำวัตถุระเบิดมาประกอบในที่พัก ซึ่งได้ลักลอบนำวัตถุระเบิดมาจากประเทศมาเลเซียก่อนจะซื้อพาวเวอร์แบงก์ที่ใช้เป็นระเบิดเพลิงแสวงเครื่องในห้างสรรพสินค้าย่านดังกล่าว