'ดอน' สายตรง 'รมว.เมียนมา' เข้มสกัดแรงงานผิดกฎหมาย
"ดอน ปรมัตถ์วินัย" โทรศัพท์สายตรงหารือ รมว.ความร่วมมือระหว่างประเทศของเมียนมา เกี่ยวกับความร่วมมือเข้มงวด เพื่อสกัดขบวนการลักลอบแรงงานต่างด้าวเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย ย้ำไทยยังไม่มีนโยบายนำเข้าแรงงานช่วงมีระบาดโควิด-19
นายธานี แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงถึงความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านในเชิงรุก เพื่อบริหารจัดการแรงงานและกลุ่มเสี่ยงในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังจากพบมีผู้ติดเชื้อในพื้นที่ จ.สมุทรสาครว่า นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้โทรศัพท์หารือกับนายจ่อ ติน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงความร่วมมือระหว่างประเทศเมียนมาในวันที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยทั้งสองฝ่ายย้ำความสำคัญที่จะต้องร่วมมือกันอย่างเข้มข้นขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะการป้องกันแนวชายแดน สกัดกั้นขบวนการลักลอบนำแรงงานต่างด้าวเมียนมาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
นายธานี กล่าวว่า ทั้งสองฝ่ายรับทราบถึงกระบวนการนายหน้านำเข้าแรงงานเมียนมาที่ผิดกฎหมาย และจะต้องร่วมมือกันอย่างเคร่งครัดในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยการรับแรงงานเมียนมาเพิ่มเติม จะต้องปฏิบัติตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน (เอ็มโอยู) ที่มีร่วมกัน ขณะที่ฝ่ายเมียนมาแจ้งว่าการระบาดที่เกิดขึ้นในเมียนมาที่ผ่านมา มีต้นเหตุมาจากการแพร่ระบาดในพื้นที่รัฐยะไข่
"ไทยและเมียนมา กำลังร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดและเข้มข้น เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศติดต่อประสานงานใกล้ชิดกับทางการเมียนมา มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ส่วนราชการต่างๆ ของไทยกับประเทศเพื่อนบ้านยังติดต่อกันยามมีเหตุฉุกเฉินต่างๆ โดยได้รับความร่วมมือจากประเทศเพื่อนบ้านในทุกระดับเป็นอย่างดี ทั้งนี้ ขอย้ำว่า ไทยยังไม่มีนโยบายนำแรงงานต่างด้าวกลับเข้ามาทำงานในไทย โดยคำนึงว่า ทั้งไทยและประเทศต้นทางของแรงงานต่างด้าวบางประเทศยังเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดโควิด-19" โฆษกกระทรวงการต่างประเทศระบุ
ทั้งนี้ หน่วยงานความมั่นคงตามแนวชายแดนได้เพิ่มมาตรการสกัดกั้นการลักลอบข้ามแดนผิดกฎหมายตลอดแนวชายแดนเพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่ช่วงแรกที่มีการระบาดทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งบังคับใช้มาตรการคัดกรองและลงโทษผู้ลักลอบข้ามแดนที่เข้มงวดมากขึ้น และจะมีการอำนวยความสะดวกการเดินทางกลับประเทศเป็นระบบมากขึ้น ผ่านช่องทางที่ถูกกฎหมายแทนการลักลอบข้ามแดน เพื่อให้สามารถคัดกรองโรคได้ถี่ถ้วนมากขึ้น
นายธานีกล่าวว่า ที่ผ่านมา การควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นความท้าทายร่วมกันของนานาชาติ และขอให้เชื่อมั่นว่าไทยและประเทศเพื่อนบ้านจะเดินหน้ากระชับความร่วมมือกันมากยิ่งขึ้นในอนาคต เพราะต่างตระหนักดีว่าไม่มีประเทศใดปลอดภัยได้อย่างแท้จริง หากประเทศเพื่อนบ้านยังคงประสบปัญหาการแพร่ระบาดอยู่ ซึ่งไทยตระหนักถึงบทบาทสำคัญของแรงงานต่างด้าวจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย โดยรัฐบาลไทยขอย้ำว่าเราดูแลแรงงานต่างด้าวเทียบเท่ากับการดูแลแรงงานไทย ทั้งเรื่องค่าจ้าง ชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงการดูแลรักษาโควิด-19