โบรกคาด'กลุ่มแบงก์'ปันผลครึ่งปีแรก64 ดิวิเดนยิลด์1-1.5% -ทั้งปี 4.5%
“บล.กสิกรไทย” คาดกลุ่มแบงก์ ปันผลครึ่งปีแรก 64 ดิวิเดนยิลด์เฉลี่ย 1-1.5% แต่เชื่อทั้งปีสูง 4.5% “บล.เมย์แบงก์ฯ” แนะซื้อเก็งกำไร “บล.เอเซีย พลัส” ชี้ ซื้อรับปันผลไม่คุ้มเสี่ยง แนะถือยาวรับเศรษฐกิจฟื้นปี 65 “ไทยพาณิชย์” ประกาศรายแรกจ่าย 1.43 บาทต่อหุ้น
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ประเดิมเป็นแบงก์แรกที่ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลงวดปี 2564 ที่ 1.43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นผลตอบแทนเงินปันผล(ดิวิเดนยิลด์) 1.37% ณ ราคาปิดวานนี้(24 ส.ค.)ที่ 104 บาท รวมเป็นเงิน 4,861 ล้านบาท ซึ่งจะขึ้นเครื่องหมาย XD (วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล) วันที่ 6 ก.ย.และกำหนดจ่าย 23 ก.ย. 2564
นายกรกช เสวตร์ครุตมัต ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.)กสิกรไทย เปิดเผยว่า ในช่วงกลางสัปดาห์นี้จะเห็นกลุ่มแบงก์ ทยอยประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2564 คาดว่าDividend Yield อยู่ที่ 1-1.5% ซึ่งถือว่าไม่มาก แต่ต้องรอดูในงวดปี 2564 ว่าจะมีการจ่ายได้ตามปกติหรือไม่ ซึ่งทาง บล.กสิกรไทย คาดทั้งปี 2564 กลุ่มแบงก์จะจ่ายเงินปันผลได้มากกว่าช่วงปันผลระหว่างกาล จึงคาดว่า Dividend Yield ทั้งปี 2564 อยู่ที่ 4.5%
สำหรับคำแนะนำกลุ่มแบงก์ มีมุมมองเชิงบวก โดยแนะนำซื้อ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) โดยให้ราคาเหมาะสมที่150 บาท และบมจ. ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป(TISCO) ให้ราคาเหมาะสม 112 บาท
นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล. เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยแนะนำซื้อขายทำกำไรระยะสั้น (เทรดดิ้ง) ในหุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะได้ปัจจัยบวกจากกระแสการลงทุนในหุ้นกลุ่มเปิดเมือง (Reopening Stock) จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ยอดผู้ติดเชื้อมีแนวโน้มชะลอตัวลง มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่เป็นบวกต่อกลุ่ม เช่น การขยายมาตรการจัดชั้นและตั้งสำรองหนี้ เพื่อดูแลไม่ให้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้นสูง
ทั้งนี้แม้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นสูงในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่ด้วยราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ และการเข้าสู่ฤดูกาลประกาศจ่ายปันผล จึงแนะนำนักลงทุนเข้าเก็งกำไร โดยใช้จังหวะที่ราคาหุ้นย่อตัวลงมา ขณะที่ราคาหุ้นในกลุ่มวานนี้ (24 ส.ค.) ที่เพิ่มขึ้นในอัตราที่ชะลอลงไปจนถึงติดลบนั้น มองว่าเป็นการพักตัวลงมาชั่วคราว ภายหลังราคาหุ้นปรับขึ้นแรง
สำหรับหุ้นเด่นแนะนำในกลุ่ม ได้แก่ ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ TISCO โดย KBANK แนะนำเก็งกำไรสำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง เพราะได้ประโยชน์จากกระแสเก็งกำไรหุ้นเปิดเมืองมากที่สุด จากที่ธนาคารมีพอร์ตลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ค่อนข้างสูง ส่วน TISCO มีจุดแข็งตรงที่งบดุลแข็งแกร่งมากที่สุดในกลุ่ม และมีอัตราส่วนเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) สูงสุดในกลุ่ม
อย่างไรก็ดี สำหรับการลงทุนในระยะกลางถึงยาวยังไม่แนะนำลงทุน เนื่องจากต้องประเมินความเสี่ยงภายหลังโควิด-19 รอบล่าสุดจบลงอีกครั้ง โดยคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพหนี้ของลูกค้า และการเติบโตของเศรษฐกิจในระยะถัดไป
นายภาสกร หวังวิวัฒน์เจริญ ผู้จัดการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยไม่แนะนำซื้อหุ้นธนาคารเพื่อหวังเงินปันผล เนื่องจากราคาหุ้นปรับขึ้นมาพอสมควรแล้ว โดยการซื้อเพื่อรับเงินปันผลควรซื้อก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD มากกว่า 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป อีกทั้งน้ำหนักการจ่ายเงินปันผลของกลุ่มธนาคารจะอยู่ในงวดครึ่งปีหลังมากกว่างวดครึ่งปีแรก อย่างไรก็ดี หากซื้อเพื่อลงทุนระยะยาวในปี 2565 มองว่ายังสามารถลงทุนได้ เพราะราคาหุ้นยังซื้อขายในระดับที่ค่อนข้างถูก สะท้อนจาก P/BV ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา
โดยหุ้นเด่นแนะนำ ได้แก่ กลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ KBANK และ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) เนื่องจากได้ประโยชน์โดยตรงหากเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ซึ่งจะช่วยให้ภาระการตั้งสำรองหนี้จะทยอยลดลงจากระดับสูงในปัจจุบัน รวมถึงทั้ง 2 ธนาคารมีความโดดเด่นในด้านดิจิทัลที่สูงเมื่อเทียบกับธนาคารอื่นๆ ส่วนกลุ่มธนาคารขนาดเล็กแนะนำ TISCO เพราะมีพื้นฐานแข็งแกร่ง สะท้อนจากงบดุล อัตราส่วนเงินสำรองที่มีอยู่ต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL Coverage Ratio) สถานะเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) และอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ที่สูงสุดในกลุ่ม
สำหรับการปันผลงวดปี 2564 คาดว่าภายหลังผลทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) ออกมาในช่วงต้นไตรมาส 4 ปี 2564 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะพิจารณาให้จ่ายปันผลแบบมีเงื่อนไขต่อไป โดยคาดว่ามีโอกาสน้อยมากที่ ธปท.จะไม่อนุญาตให้จ่ายปันผล เนื่องจากฐานะการเงินของธนาคารพาณิชย์ยังอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง สะท้อนจาก BIS Ratio ของระบบธนาคารในไตรมาส 2 ปี 2564 ที่อยู่ในระดับ 20% สูงกว่าขั้นต่ำที่ ธปท.กำหนดที่ 11-12%