เกม 3 ขา “ทักษิณ-เพื่อไทย-ณัฐวุฒิ” โจทย์ใหญ่“ไล่ประยุทธ์-เปลี่ยนรัฐบาล"
“ทักษิณ”วางเกม 3 ขา ด้อยค่า “พล.อ.ประยุทธ์” ขาแรกเกมในสภาขับเคลื่อนโดยพรรคเพื่อไทย ขาสองเกมนอกสภาขับเคลื่อนโดย “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เลขาธิการนปช. ขาสามเกมโซเชียลมีเดียขับเคลื่อนโดย “กลุ่มแคร์”
เข้าสู่โหมดการเมืองเข้มข้น เมื่อบรรดาขุนพลของเครือข่าย “โทนี่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกประจัญบานเครือข่าย “3 ป.” โดยภารกิจแรกเริ่มที่การขับไล่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม ออกจากตำแหน่ง
เพราะหากกำจัด “พล.อ.ประยุทธ์” ออกจากการเมืองได้ ทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ย่อมโบกมือลาการเมืองไปพร้อมกันอย่างแน่นอน
“ทักษิณ” รู้ดีว่าหากกำจัด “3 ป.” ออกจากถนนการเมืองได้ จะทำให้พรรค พปชร.แทบไม่มีพิษสง เนื่องจาก ขุมอำนาจ-ขุมทรัพย์ อยู่ที่ตัว “3 ป.” ไม่ได้ขึ้นตรงกับพรรค พปชร. แถม ส.ส.พปชร. เกือบยกพรรคเคยก่อร่างสร้างตัวมากับพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน พรรคเพื่อไทย ซึ่งอยู่ภายใต้ร่มเงาของ “ทักษิณ”
เมื่อสถานการณ์โควิด-19 รุมกระหน่ำรัฐบาล ภาพคนติดเชื้อรายใหม่ ต้องดิ้นรนหาเตียงรักษา ภาพผู้เสียชีวิตที่ไม่ได้รับการรักษา ต้องเสียชีวิตภายในบ้าน สะท้อนให้เห็นความล้มเหลวของ “พล.อ.ประยุทธ์” จึงเป็นไทม์มิ่งเหมาะที่ “ขั้วฝ่ายค้าน” ซึ่งนำโดยพรรคเพื่อไทย ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ
แม้รู้อยู่เต็มอกว่าเสียงในสภาไม่สามารถล้ม “3 ป.” ลงได้ แต่เป็นโอกาสดีที่สุดแล้วที่เครือข่ายของ “ทักษิณ” จะเดินเกมรุกทางการเมือง พุ่งเป้าโจมตี “พล.อ.ประยุทธ์” กล่องดวงใจของเครือข่าย “3 ป.” เพราะหากปล่อยให้เลยช่วงนี้ไป สถานการณ์โควิด-19 ดีขึ้น น้ำหนักการอภิปรายไม่ไว้วางใจอาจจะลดน้อยลง
“ทักษิณ”จึง วางเกม 3 ขา ด้อยค่า “พล.อ.ประยุทธ์” ขาแรกเกมในสภาขับเคลื่อนโดยพรรคเพื่อไทย ขาสองเกมนอกสภาขับเคลื่อนโดย “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” เลขาธิการนปช. ขาสามเกมโซเชียลมีเดียขับเคลื่อนโดย “กลุ่มแคร์” ทั้ง 3 ขา จะขับเคลื่อนสอดประสานกัน เพื่อโจมตี “พล.อ.ประยุทธ์” ให้ตรงเป้ามากที่สุด
เกมในสภาพรรคเพื่อไทย จัด 19 ขุนพล ชำแหละความผิดพลาดของ “พล.อ.ประยุทธ์ + 5 รัฐมนตรี” พร้อมเปิดยุทธการ “หยุดยุทธ์ หยุดโอหังคลั่งอำนาจ หยุดความพินาศของประเทศ” คาดหวังให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลปัจจุบัน
ที่่สำคัญ“สมพงษ์ อมรวิวัฒน์” หัวหน้าพรรคเพื่อไทยได้ออกหนังสือแจ้งให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคทุกคนปฏิบัติตามมติของพรรค หากลงมติเป็นอย่างอื่นหรือฝืนมติพรรค จะถูกลงโทษทางวินัยถึงขั้นพ้นสภาพการเป็นสมาชิกพรรคทันที และยังสั่งส.ส.ทุกคน ห้ามลา ห้ามป่วย ห้ามขาดประชุมเด็ดขาด
สะท้อนให้เห็นว่า “ทักษิณ-เพื่อไทย” เอาจริงกับ “ส.ส.งูเห่า” หากต้องการเลื้อยไปอยู่ร่วมกับ “ขั้วตรงข้าม” คงถึงเวลาตัดหางปล่อยวัด พรรคจะได้เตรียมตัวปั้นผู้สมัครที่จะสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ต้องเสียเวลากับคนหลายใจ
นอกจากนี้ ยังเป็นครั้งแรกที่ “เพื่อไทย” จัดแคมเปญให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมกับพรรค โดยใช้แคมเปญชื่อ “ลงมติประชาชน รวมพลไล่ประยุทธ์” ให้ร่วมลงชื่อขับไล่ “พล.อ.ประยุทธ์” ผ่าน WWW.CHANGE.ORG/PRAYUTGETOUT โดยพบว่าขณะนี้มีประชาชนร่วมลงชื่อมากกว่า 35,000 คน และยังเปิดเวปไซต์ HTTPS://VOTE.PTP.OR.TH/ เพื่อรองรับให้ประชาชนร่วมลงชื่ออีกช่องทางหนึ่ง
เกมนอกสภา “ณัฐวุฒิ” เดินต่อเนื่อง ภายหลังนัดชุมนุม “คาร์ม็อบ” ไปสองครั้งสองคราว รวบรวมไพร่พลที่กระจัดกระจายให้มาอยู่ภายใต้การคอลโทรลของ “ณัฐวุฒิ” แม้แบรนด์นปช.จะเสื่อมมนต์ขลัง “คนเสื้อแดง” ไม่ศรัทธาในองค์กรนปช.อีกต่อไป
ลำพังตัว “ณัฐวุฒิ” ที่ยังพอมีแฟนคลับส่วนตัว และฝีปากยังสามารถดึงดูดแฟนคลับรุ่นใหม่ได้อยู่บ้าง จึงค่อนข้างมั่นใจว่าการจัดชุมนุมสามารถกดดัน “พล.อ.ประยุทธ์” ได้พอสมควร
เมื่อ “ทักษิณ” กดปุ่มเดินเกมคู่ขนาน “ณัฐวุฒิ” จึงปรับขบวน “คาร์ม็อบ” มาจัดการชุมนุมใหญ่บริเวณแยกอโศก เพื่ออภิปรายไม่ไว้วางใจการทำงานของ “พล.อ.ประยุทธ์ + 5 รัฐมนตรี” ควบคู่กันไปกับศึกซักฟอกในสภา
โดย “ณัฐวุฒิ” นัดหมายมวลชน-แฟนคลับ ในวันที่ 2 ก.ย. เพื่อช่วยชำแหละแผลของ “พล.อ.ประยุทธ์” ในสไตล์ที่จะโดนในมวลชน-แฟนคลับ มากกว่าการอภิปรายในสภา
เวทีของ “ณัฐวุฒิ” ยืนยันไม่บุกรุกสถานที่-ไม่ลุย-ไม่บวก-ไม่ปะทะ-ไม่เผชิญหน้ากองกำลังรัฐ ซึ่งต้องจับตาว่าจะสามารถรวบรวมมวลชนให้ร่วมการชุมนุมได้มากน้อยแค่ไหน เพราะ “คาร์ม็อบ” ที่ดูเยอะส่วนหนึ่งเพราะมีรถรวมอยู่ด้วย แต่ชุมนุมแยกอโศกครั้งหน้านับหัวผู้ชุมนุมเพียวๆ
เกมโซเชียลมีเดีย ทักษิณ ในนาม “โทนี่” ยังกระโจนเข้ามาร่วมวง เปิดฉาก “ขอไม่ไว้วางใจประยุทธ์ด้วยคน” ผ่านรายการ Care Talk x Care ClubHouse วันอังคารที่ 31 ส.ค.2564
การเปิดหน้า เดินเกมรุกหนัก เพราะอาจประเมินสถานการณ์โดยภาพรวมแล้วว่า รัฐบาลประยุทธ์กำลังจะไปไม่รอด