ฉบับเต็ม! คำพิพากษายกฟ้อง “ขุนค้อน-อุดมเดช” คดีสลับร่างแก้ รธน.ที่มา ส.ว.
เปิดคำพิพากษาฉบับเต็ม! ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ยกฟ้อง “ขุนค้อน สมศักดิ์-อุดมเดช รัตนเสถียร” คดีสลับเนื้อหาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มา ส.ว. ชี้ไม่มีเจตนาสับเปลี่ยนร่าง เนื้อหาสอดคล้องเจตนาสมาชิกรัฐสภา
เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2565 ที่ผ่านมา ศาลยุติธรรมเผยแพร่เอกสารข่าว กรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง อ่านคําพิพากษา คดีหมายเลขดําที่ อม. 1/2563 คดีหมายเลขแดงที่ อม. 20/2565 ระหว่าง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นจำเลยที่ 1 และนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย อดีตประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) เป็นจำเลยที่ 2 ในคดีสลับเนื้อหาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มาของ ส.ว.
คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ขณะเกิดเหตุ จําเลยที่ 1 เป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและเป็นประธาน รัฐสภาโดยตําแหน่ง จําเลยที่ 2 เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ใช้อํานาจหน้าที่กระทําการที่มิชอบด้วย รัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยจําเลยที่ 2 สับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภาที่เสนอต่อประธานรัฐสภา โดยไม่มีสมาชิกรัฐสภาลงชื่อรับรอง ซึ่งร่างฉบับใหม่ที่นํามาสับเปลี่ยน มีการ เพิ่มเนื้อหาแตกต่างจากร่างเดิมในหลักการที่เป็นสาระสําคัญ คือผู้เคยดํารงตําแหน่งสมาชิกวุฒิสภาซึ่งสมาชิก ภาพสิ้นสุดลง สามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้เลยโดยไม่ต้องรอให้พ้นระยะเวลา 2 ปี และ จําเลยที่ 1 รู้เห็นให้มีการสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา โดยไม่ ตรวจสอบและสั่งการให้แก้ไขให้ถูกต้อง และจงใจนับกําหนดเวลาแปรญัตติย้อนหลัง ทําให้เหลือระยะเวลาให้ สมาชิกรัฐสภาเสนอคําแปรญัตติเพียง 1 วัน อันเป็นการขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 291 ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172 และมาตรา 198
จําเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ประการแรกว่า การสับเปลี่ยนร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา จําเลย ทั้งสองมีความผิดหรือไม่ สําหรับจําเลยที่ 2 ผู้ดําเนินการนําร่างฉบับใหม่มาเปลี่ยนร่างเดิม ปรากฏตามบันทึก วิเคราะห์สรุปสาระสําคัญของร่างเดิมว่า วาระการดํารงตําแหน่งของสมาชิกวุฒิสภาให้สามารถดํารงตําแหน่ง ติดต่อกันเกินกว่า 1 วาระได้เช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการแสดงให้เห็นโดยชัดแจ้งว่า เป็นกรณี ที่กําหนดให้สมาชิกวุฒิสภาที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงสามารถสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภาได้ติดต่อกันเลย โดยไม่ต้องเว้นวรรค เพียงแต่ร่างเดิมมิได้ระบุว่าแก้ไขตรงมาตราใดที่มีข้อความตามนัยให้เป็นสมาชิกวุฒิสภา ติดต่อกันได้ อันเป็นการบกพร่องในการร่างของร่างเดิม
เมื่อร่างฉบับใหม่ระบุแก้ไขตรงมาตรา 116 วรรคสอง ก็เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมให้ตรงกับที่สมาชิกรัฐสภาที่ร่วมกันลงชื่อเสนอญัตติได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่ก่อนยื่นญัตติ ตามที่ได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน จําเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)แจ้งแก่คณะกรรมการพรรคร่วมรัฐบาลให้ทราบถึงข้อบกพร่องและได้แก้ไขปรับปรุงให้เป็นไปตามที่ได้ หารือและที่ได้แถลงข่าวกันไว้แล้วให้ช่วยแจ้งสมาชิกรัฐสภาทราบด้วยและขอแก้ไขให้เป็นไปตามที่ได้หารือกันไว้ อันเป็นการกระทําโดยเปิดเผย และในการประชุมสภาวาระที่หนึ่งซึ่งจําเลยที่ 2 ผู้เสนอญัตติอภิปรายหลักการ และเหตุผลตามความในร่างฉบับใหม่ ไม่มีสมาชิกที่ร่วมลงชื่อเสนอญัตติตามร่างเดิมทักท้วง
เชื่อว่าจําเลยที่ 2 เพียงต้องการแก้ไขร่างเดิมเพื่อให้มีเนื้อความถูกต้องตรงกับความประสงค์ของสมาชิกที่ลงชื่อเสนอมาเท่านั้น หา ใช่มีเจตนาแก้ไขตามความประสงค์ส่วนตัว อีกทั้งจําเลยที่ 2 มิได้ใช้อิทธิพลหรืออํานาจครอบงําสั่งการใดๆบังคับเจ้าหน้าที่ของรัฐสภาให้ยินยอมให้จําเลยที่ 2 นําร่างฉบับใหม่มาเปลี่ยนได้ พร้อมทั้งคืนร่างเดิมแก่ฝ่ายจําเลยที่ 2 ไป มีเหตุผลให้จําเลยที่ 2 เข้าใจว่าเป็นกรณีสามารถทําได้ตามปกติ ส่วนจําเลยที่ 1 ได้สอบถามนิติกรเจ้าของ เรื่องรายงานว่า ตรวจสอบแล้วเห็นว่าแก้ไขได้ และร่างที่นํามาเปลี่ยนมิได้ขัดกับหลักการที่เสนอไว้แต่เดิม สามารถทําได้ตามข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ. 2553 ข้อ 36
โดยมีข้าราชการประจํารัฐสภาและอดีต ข้าราชการประจํารัฐสภาซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติงานจริงให้ถ้อยคําตรงกันว่า ตราบใดที่ประธานรัฐสภายังมิได้สั่งบรรจุ เข้าระเบียบวาระการประชุมรัฐสภา ผู้เสนอญัตติย่อมแก้ไขเพิ่มเติมได้เสมอ ส่วนวิธีการแก้ไขเพิ่มเติม ไม่มี กําหนดไว้เป็นลายลักษณ์อักษรที่ใด แต่มีแนวทางที่เคยปฏิบัติสืบทอดกันมาอย่างยาวนานหลายปีว่า การแก้ไข เพิ่มเติมทําได้ 5 แนวทาง รวมทั้งการนําร่างฉบับใหม่มาเปลี่ยนร่างเดิมซึ่งมีตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมที่เคยปฏิบัติ สืบทอดกันมา และจําเลยที่ 1 ได้เรียกผู้อํานวยการสํานักการประชุม สํานักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไป สอบถามแล้วยืนยันว่าสามารถทําได้ นับว่ามีเหตุผลให้จําเลยที่ 1 เชื่อได้ว่าทําได้ หากจําเลยที่ 1 ไม่เชื่อว่าทําได้ หรือเชื่อว่าทําไม่ได้จําเลยที่ 1 ก็ให้ฝ่ายจําเลยที่ 2 ไปดําเนินการเสนอร่างเข้ามาใหม่ โดยให้สมาชิกรัฐสภาร่วม ลงชื่อเสนอญัตติเข้ามาใหม่ก็ทําได้โดยง่ายเพราะจําเลยทั้งสองสังกัดพรรคการเมืองเดียวกันและผู้ร่วมลงชื่อ เสนอญัตติส่วนใหญ่ก็สังกัดพรรคการเมืองเดียวกันกับจําเลยทั้งสอง จึงฟังไม่ได้ว่าจําเลยทั้งสองมีเจตนาและ เจตนาพิเศษ การกระทําของจําเลยทั้งจึงไม่เป็นความผิดตามคําฟ้องข้อ 3.1
ประการที่สอง การที่จําเลยที่ 1 นําร่างฉบับใหม่ที่จําเลยที่ 2 เสนอบรรจุเข้าระเบียบวาระการ ประชุมรัฐสภาเป็นความผิดหรือไม่ เห็นว่า การที่จําเลยที่ 1 กระทําเช่นนั้นเป็นผลต่อเนื่องมาจากการที่จําเลยที่ 1 เชื่อว่าผู้เสนอญัตติสามารถแก้ไขญัตติได้หากประธานรัฐสภายังไม่ได้สั่งอนุญาตให้บรรจุเข้าระเบียบวาระการ ประชุมรัฐสภา จึงเป็นการสั่งไปโดยถือว่าได้มีการแก้ไขญัตติเดิมเป็นร่างฉบับใหม่เพียงฉบับเดียวแล้วนั่นเอง จึง ฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 1 มีเจตนาและเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่สมาชิกที่ร่วมพิจารณาญัตติ ฟังไม่ได้ ว่าการกระทําของจําเลยที่ 1 เป็นความผิดตามคําฟ้องข้อ 3.2
ประการที่สาม จําเลยที่ 1 จงใจนับกําหนดเวลาแปรญัตติย้อนหลัง ทําให้เหลือระยะเวลาให้สมาชิก รัฐสภาเสนอคําแปรญัตติเพียง 1 วัน เป็นการกระทําความผิดอาญาตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อที่ประชุมรัฐสภา ลงมติให้รับหลักการในวาระที่หนึ่งเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2556 และข้อบังคับการประชุมรัฐสภา พ.ศ.2553 ข้อ 96 วรรคหนึ่ง กําหนดว่า การพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมขั้นคณะกรรมาธิการ สมาชิกรัฐสภาผู้ใด เห็นควรแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม ก็ให้เสนอคําแปรญัตติล่วงหน้าเป็นหนังสือต่อประธาน คณะกรรมาธิการภายในกําหนด 15 วัน นับแต่วันถัดจากวันที่รัฐสภารับหลักการแห่งร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข เพิ่มเติม เว้นแต่รัฐสภาจะได้กําหนดเวลาแปรญัตติสําหรับร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติมนั้นไว้เป็นอย่างอื่น มีผู้เสนอให้กําหนดเวลาเสนอคําแปรญัตติภายใน 60 วัน
แต่เมื่อที่ประชุมรัฐสภายังไม่ได้มีการลงมติ ถือว่ารัฐสภา ไม่ได้กําหนดเวลาเสนอคําแปรญัตติไว้เป็นอย่างอื่น การที่จําเลยที่ 1 เรียกประชุมรัฐสภาอีกครั้งเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2556 และที่ประชุมรัฐสภาลงมติให้กําหนดเวลาเสนอคําแปรญัตติภายใน 15 วัน จําเลยที่ 1 วินิจฉัย ให้นับแต่วันรับหลักการตามข้อบังคับข้างต้น เชื่อว่าจําเลยที่ 1 ตีความโดยจําเลยที่ 1 เชื่อเช่นนั้นจริง การจะเป็นความอาญาตามฟ้องต้องมีข้อเท็จจริงให้รับฟังด้วยว่า จําเลยที่ 1 มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตําแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อํานาจในตําแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ และมีเจตนาพิเศษเพื่อให้เกิดความ เสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือมิฉะนั้นก็มีเจตนาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต
ปรากฏว่าสมาชิก รัฐสภายื่นหรือเสนอคําแปรญัตติทันภายในกําหนด 202 คน คงมีเพียงนาย น.ที่ยื่นคําแปรญัตติไม่ทัน แม้อาจ ได้รับความเสียหายอยู่บ้าง แต่จําเลยที่ 1 ก็ให้โอกาสนาย น. ได้อภิปรายในวาระที่สอง ความเสียหายที่หากมีก็ ไม่มากนัก พยานหลักฐานที่ได้จากการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมืองไม่พียงพอให้รับฟังได้ว่าจําเลยที่ 1 มีเจตนาและเจตนาพิเศษดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่าจําเลยที่ 1 กระทําความผิด ตามคําฟ้องข้อ 3.3
พิพากษายกฟ้อง