"พิธา-ธนาธร" ลุยร้อยเอ็ด สานต่อนโยบายท้องถิ่น ออกกฎหมายน้ำประปาดื่มได้
“ธนาธร” นำคณะก้าวหน้าประกาศความสำเร็จ ทำน้ำประปาดื่มได้ที่ อ.อาจสามารถ จ.ร้อยเอ็ด อปท. แรกของไทยใช้ระบบ IoT ให้บริการครบวงจร “พิธา” เผย “ก้าวไกล” พร้อมสานต่อนโยบายท้องถิ่นสู่ระดับประเทศ ออกกฎหมายน้ำประปาดื่มได้ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2566 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วยนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า และผู้ช่วยหาเสียงของพรรคก้าวไกล และนายเทพพร จำปานวน นายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลอาจสามารถ ร่วมแถลงข่าวความสำเร็จในการปรับปรุงระบบน้ำประปาของเทศบาลตำบลอาจสามารถ ที่ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นจากที่ประสบความสำเร็จในการเป็นน้ำประปาดื่มได้มาแล้ว
โดยทั้งหมด ได้ร่วมเยี่ยมชมจุดติดตั้งอุปกรณ์ IoT ทั้งบริเวณโรงผลิตน้ำประปา ที่มีทั้งระบบเซนเซอร์ตรวจวัดคุณภาพของน้ำประปาทุกค่ามาตรฐาน ไม่ว่าจะเป็นค่าความใส ค่ากรด/ด่าง ค่าคลอรีน และค่าโลหะหนัก แบบเรียลไทม์ ใช้ทั้งในการตรวจสอบคุณภาพและการปรับปรุงคุณภาพของน้ำประปาในแต่ละวัน และสมาร์ตเกตเวย์ที่ตรวจวัดค่าความดันน้ำ ก่อนร่วมกันเดินตรวจเยี่ยมระบบในระดับครัวเรือน ที่ได้มีการติดตั้งสมาร์ทมิเตอร์ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การตรวจวัดหน่วยการใช้น้ำในระดับครัวเรือนและการออกบิลในทุกครัวเรือนเช่นกัน
นายเทพพร กล่าวว่า นับจากวันที่รับตำแหน่งมา ทางเทศบาลได้พัฒนาปรับปรุงระบบการผลิตน้ำประปาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้คำแนะนำจากทีมวิศวกรน้ำที่คณะก้าวหน้าส่งมาทำงานร่วมกัน และทำได้สำเร็จแม้จะมีอุปสรรคนานับการ ปรับปรุงคุณภาพน้ำสำเร็จภายใน 99 วัน ได้รับการรับรองคุณภาพจากกรมอนามัยให้เป็นน้ำประปาดื่มได้ และบัดนี้เทศบาลตำบลอาจสามารถได้ยกระดับความสำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง ด้วยการพัฒนาไปเป็นระบบ IoT ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณจากกองทุนของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และการดำเนินการร่วมกับเอกชนผู้ผลิตระบบน้ำประปาอัจฉริยะในประเทศไทย จนบัดนี้ กำลังจะกลายเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งแรกในประเทศไทย ที่ใช้งานน้ำประปา IoT อัจฉริยะ
นายธนาธร กล่าวว่า การเดินหน้าโครงการนี้ร่วมกับเทศบาลตำบลอาจสามารถ มาจากการที่เรามีความฝันที่ยิ่งใหญ่ คิดไปไกลถึงอนาคต เพราะเป็นที่ชัดเจนว่าประชากรเกิดใหม่ในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่อง จาก 8 แสนคนต่อปีเหลือเพียง 5 แสนคนต่อปีในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา คนวัยทำงานมีแนวโน้มที่จะลดน้อยลง และบัดนี้ประเทศไทยเข้าสู่สังคมชราภาพแล้ว แปลว่าในอนาคตคนวัยทำงานจะต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อแบกรับภาระการจ่ายภาษีแทนเด็กและผู้สูงอายุมากขึ้น
"ที่อาจสามารถ คือตัวอย่างหนึ่งของการแก้ปัญหาอนาคตของประเทศ ยกตัวอย่างเพียงแค่ระบบการออกใบเสร็จค่าน้ำประปา ที่มีการปรับปรุงจากบิลกระดาษเขียนมือเป็นบิลดิจิทัล พบว่าสามารถลดชั่วโมงทำงานที่ใช้ในการออกบิล จากเดือนละ 40 ชั่วโมง เหลือเพียงเดือนละ 2 ชั่วโมงเท่านั้น คนทำงานทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังลดค่าใช้จ่ายของเทศบาลลงได้ถึง 1,200 บาทต่อเดือน ลดการบริหารการเก็บค่าน้ำแบบเงินสดเป็นการชำระค่าน้ำแบบออนไลน์ ประหยัดเวลาในการเก็บเงินเพิ่มได้อีก และเมื่อระบบประปา IoT ที่นี่ได้รับการส่งมอบ จากเดือนหน้าเป็นต้นไปจะไม่ต้องมีใครเดินจดค่าน้ำอีกแล้ว แต่ดึงข้อมูลจากระบบคลาวด์โดยตรงมาออกบิลได้เลย" นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวอีกว่า เพียงแค่การเปลี่ยนรูปแบบใบเสร็จเรื่องเดียว ก็ทำให้การทำงานของเทศบาลมีประสิทธิภาพมากขึ้นแล้ว เมื่อบวกกับการปรับปรุงระบบให้เป็น IoT และสมาร์ทมิเตอร์ การบริการประชาชนและการบริหารของเทศบาลก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น นี่คือตัวอย่างของการแก้ไขปัญหาสังคมสูงวัย-คนวัยทำงานน้อยลง ที่มีหัวใจสำคัญ คือทำอย่างไรก็ได้ให้คนไทยทำงานน้อยลงแต่ได้ผลลัพธ์เท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้น
นายธนาธร กล่าวด้วยว่า 20 ปีจากนี้ ประเทศไทยค่อนข้างแน่นอนแล้ว ว่ามิเตอร์น้ำและไฟทั้งหมดจะต้องเป็นสมาร์ทมิเตอร์ เพราะเราจะไม่มีคนเหลือเฟือมานั่งจดค่าน้ำ คำนวณบิลค่าน้ำเหมือนแต่ก่อน และมากไปกว่านั้น นี่คือสิ่งที่จะทำให้ลูกหลานของเราในอนาคตมีงานที่มีคุณภาพทำ ระบบสมาร์ทมิเตอร์และ IoT คืออนาคตอุตสาหกรรมของประเทศไทย ถ้า 20 ปีจากนี้มีการเปลี่ยนมิเตอร์น้ำและไฟทุกตัวเป็นสมาร์ทมิเตอร์ ประเทศไทยจะเกิดอุตสาหกรรมใหม่ขึ้น เมื่อผลิตชิ้นส่วนได้ทุกชิ้นเองในประเทศ ประเทศไทยก็จะมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง สร้างงานสร้างรายได้ให้แก่คนไทยเอง โดยไม่ต้องนำเข้าที่เป็นการจ้างงานคนที่ต่างประเทศอีกต่อไป
“เมื่อท่านมองแผงสมาร์ทมิเตอร์ ท่านอาจจะเห็นมันเป็นแค่ชิ้นส่วนต่างๆ ของอุปกรณ์ยากๆ แต่สำหรับผม ผมเห็นงานให้ลูกหลาน ผมเห็นโอกาสที่ประเทศไทยจะมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ผมเห็นโอกาสที่อุตสาหกรรมไทยจะสามารถผลิตสินค้าที่ทันสมัย ตอบโจทย์ความต้องการของโลกได้ สิ่งที่เราทำสำเร็จที่อาจสามารถนี้ สามารถเป็นโมเดลให้ทุกที่เดินตาม และทำให้มีความต้องการ (demand) เพียงพอสร้างอุตสาหกรรมนี้ให้เกิดขึ้นในประเทศไทย” นายธนาธร กล่าว
นายพิธา กล่าวว่า น้ำประปา เป็นหนึ่งในเรื่อง “ดิน-น้ำ-ลม-ไฟ” ที่สะท้อนความเหลื่อมล้ำในการจัดสรรทรัพยากร การที่คุณภาพน้ำประปาในประเทศนี้ไม่เท่ากัน สะท้อนปัญหาที่เกิดจากรัฐราชการรวมศูนย์ที่เต็มไปด้วยความไม่มีประสิทธิภาพ และคนที่จะแก้ปัญหานี้ได้ก็คือท้องถิ่น ทำให้เราต้องการการผสานพลังระหว่างพรรคก้าวไกลและคณะก้าวหน้า เอาความสำเร็จจากอาจสามารถ ไปผลักดันให้สำเร็จในระดับประเทศให้ได้
นายพิธา กล่าวอีกว่า สิ่งที่พรรคก้าวไกลจะทำเมื่อเข้าสภา ก็คือการผลักดัน พ.ร.บ.น้ำประปาดื่มได้ทันที นี่คือวิสัยทัศน์เพื่อการลดความเหลื่อมล้ำและต้นทุนในชีวิตให้ประชาชน ที่ทุกวันนี้ส่วนใหญ่ยังต้องซื้อน้ำใช้เองเป็นจำนวนมากถึง 5 หมื่นล้านบาทต่อปี และด้วยการพัฒนาบริการสาธารณะให้เป็นแบบที่อาจสามารถทำสำเร็จในวันนี้ ซึ่งก็คือรูปธรรมของ 4.0 ประเทศไทยจะมีความต้องการวิศวกรซอฟต์แวร์ นักคอมพิวเตอร์ และอาชีพที่มีทักษะสูงอื่นๆ เพิ่มขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก
“สร้างงาน-ซ่อมประเทศ เริ่มต้นขึ้นที่นี่ เราอยากเห็นคนไทยทุกคนได้โอกาสในการกลับมาทำงานอยู่ใกล้บ้าน ใกล้ชิดกับครอบครัวมากขึ้น สิ่งที่อาจสามารถทำสำเร็จหากเกิดขึ้นได้ทั่วประเทศ จะเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างงานคุณภาพ 1 ล้านงานทั่วประเทศ นั่นคือสิ่งที่พรรคก้าวไกลพยายามผลักดันให้เกิดขึ้น ถ้าแก้ที่อาจสามารถได้เราก็แก้ปัญหาที่อีสานได้ แก้ที่อีสานได้ก็แก้ปัญหาให้ทั้งประเทศได้เช่นกัน” นายพิธา กล่าว