มรสุม ‘ก้าวไกล’ ก้าวถอยหลัง ขุนพลพาเสื่อม ‘ศัตรู’รุกฆาต

มรสุม ‘ก้าวไกล’ ก้าวถอยหลัง ขุนพลพาเสื่อม ‘ศัตรู’รุกฆาต

มรสุมที่โถมเข้าใส่ “ก้าวไกล-ขุนพลสีส้ม” มีทั้งภัยที่มาจากตัวเอง และภัยที่มาจากศัตรู หลังจากนี้ จึงต้องจับตาว่า “ก้าวไกล-ขุนพลสีส้ม” จะผ่านมรสุมที่ถาโถมเข้ามาไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่

สถานการณ์พรรคก้าวไกล กำลังอยู่ในช่วงพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ขยับซ้ายโดนตรวจสอบ ขยับขวาถูกมองว่าคุกคามคนอื่น อยู่ในที่ตั้ง ก็ยังโดนคดีจากกรรมเก่า 

“ขุนพลสีส้ม” ในเวลานี้ จึงขยับค่อนข้างลำบาก เพราะทุกสายตาจ้องจับผิด เพื่อบั่นทอนกระแสนิยมให้ลดน้อยถอยลง

กรณีของ “หมออ๋อง” ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ยกทีม สส.ก้าวไกล เดินทางไปดูงานที่สิงคโปร์ ระหว่างวันที่ 21-24 ก.ย.2566 ใช้งบประมาณ 1.3 ล้านบาท ถูกตั้งคำถามถึงความคุ้มค่าทันที

แม้ “หมออ๋อง” จะออกมาชี้แจงว่า ค่าตั๋วเครื่องบินที่เจ้าหน้าที่ตั้งไว้ตามสิทธิคือ 52,000 บาท จองจริง 28,000 บาท ส่วนที่เหลือส่งคืนคลังทั้งหมด โรงแรมตั้งตามสิทธิที่เบิกได้ 12,500 บาท แต่จองจริงประมาณ 9,000 บาท แต่ “หมออ๋อง-ก้าวไกล” กลับถูกย้อนเกล็ดด้วยคำพูดเก่าก่อน ที่เคยปราศรัย จะตัดงบเดินทางไปดูงานต่างประเทศหลายครั้ง

“เราพยายามประหยัดให้มากที่สุด แต่ขณะเดียวกันตอนนี้ ผมกำลังดำเนินหน้าที่ในฐานะทูตของสภาผู้แทนราษฎร การเยี่ยมคารวะ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ การเลี้ยงรับรองบุคคลต่างๆ ที่มาพบเจอกัน ต้องเป็นส่วนที่รับรองให้สมเกียรติของประเทศไทยด้วย” หมออ๋อง ชี้แจง
 

ทว่า ข้อแคลงใจของสังคมไม่ได้อยู่ที่ราคาทริปดูงาน แต่อยู่ที่จุดยืน แนวทางการเมืองของ “ก้าวไกล” ที่เคยเรียกคะแนนนิยมได้เป็นกอบเป็นกำ กลับมาโดน “คนในพรรค” กลืนน้ำลายตัวเอง จัดทริปดูงานสวนทางกลับแนวทางของพรรค

นอกจากนี้ ยังมีกรณีของ “อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล” กรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ปะทะฝีปากผ่านโซเชียลมีเดียกับ “ปีใหม่” ที่อ้างตัวว่าเป็นแฟนคลับของพรรคเพื่อไทย โดย “อมรัตน์” มีการนำข้อมูลส่วนของคู่กรณีมาเปิดเผยลง X (ทวิตเตอร์)

“อมรัตน์” ยังเดินทางไปถึงที่ทำงานของคู่กรณี จนมีกระแสไม่เห็นด้วยกับการกระทำในฐานะนักการเมือง เนื่องจากดูเป็นการใช้อิทธิพลคุกคามคนธรรมดา

แม้ “อมรัตน์” จะออกมาขอโทษต่อกรณีดังกล่าว แต่การกระทำของเจ้าตัวขัดแย้งกับจุดยืนของ “ก้าวไกล” อย่างสิ้นเชิง เพราะชัดเจนในจุดยืนเรื่องการเคารพสิทธิมนุษยชน แต่การถูกมองว่า มีท่าทีคุกคามคนอื่นของ “อมรัตน์” ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของพรรคอย่างเลี่ยงไม่ได้
 

ขณะเดียวกัน การแก้เกมกฎหมาย เพื่อยึดเก้าอี้ “ผู้นำฝ่ายค้าน” โดยไฟเขียวให้ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ลาออกจากหัวหน้าพรรค เพื่อเลือกหัวหน้าพรรคก้าวไกลคนใหม่มาดำรงตำแหน่ง “ผู้นำฝ่ายค้าน”

หวังจะรั้งตำแหน่ง “รองประธานสภาฯ” ที่ “หมออ๋อง”นั่งอยู่ เอาไว้ให้ได้ โดยใช้กลวิธีการให้ขับ “หมออ๋อง” ออกจากพรรค เพื่อให้ย้ายไปสังกัดพรรคการเมืองอื่น เปิดทางก้าวไกลยังคงได้สิทธิเก้าอี้ “ผู้นำฝ่ายค้าน” ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้

การแก้เกมการเมือง ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ที่จะส่งผลเสียต่อ “ก้าวไกล” หนีไม่พ้นจุดยืนของพรรค ที่ประกาศมาตลอดว่า ต้องทำงานการเมืองแบบใหม่ หลีกหนีการเมืองแบบเก่า

แต่หากยอมขับ “หมออ๋อง” เพื่อยึดเก้าอี้ “ผู้นำฝ่ายค้าน” โดยไม่เสียเก้าอี้รองประธานสภาฯ ย่อมเป็นเรื่องย้อนแย้ง ไม่ต่างกับการเมืองแบบเก่าที่ยึดผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลัก

ขณะที่กรรมเก่าของ “ขุนพลสีส้ม” อีกหลายคดียังคงเดินหน้า บางคดีมีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว โดยล่าสุดศาลฎีกามีคำพิพากษาในคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวหา “ช่อ” พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า อดีตโฆษกพรรคอนาคตใหม่ มีความผิดฐานฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมฯอย่างร้ายแรง เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดไป

คดีดังกล่าว กรรมการ ป.ป.ช. มีมติเอกฉันท์ชี้มูล “พรรณิการ์” ไปเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2565 ก่อนที่ศาลฎีกาจะมีพิพากษาออกมา

สะท้อนให้เห็นว่าเครืองมือกลไกของ “อนุรักษนิยม” ซึ่งเป็นคู่แข่ง ศัตรูของพรรคก้าวไกล พร้อมที่จะงัดกลไกทางกฎหมายมาเล่นงานเล่นงาน “ขุนพลสีส้ม” ทำให้หลายคนที่มีคดีติดตัว ต้องเตรียมตัวรับสถานการณ์เดียวกับ “พรรณิการ์”

มรสุมที่โถมเข้าใส่ “ก้าวไกล-ขุนพลสีส้ม” มีทั้งภัยที่มาจากตัวเอง และภัยที่มาจากศัตรู หลังจากนี้ จึงต้องจับตาว่า “ก้าวไกล-ขุนพลสีส้ม” จะผ่านมรสุมที่ถาโถมเข้ามาไปได้ตลอดรอดฝั่งหรือไม่