'นักวิชาการ' ค้านแจกเงินดิจิทัลไร้หลักการ จี้พรรคร่วมรับผิดชอบหากเสียหาย
"เจษฎ์-ปริญญา" ค้านแจกเงินดิจิทัล ไร้หลักการ ร่วมปฏิเสธรับเงินรัฐบาล พร้อมจี้ 3พรรคร่วมรัฐบาล รับผิดชอบหากเกิดความเสียหาย- โหวต "เศรษฐา" พ้นนายกฯ
ผู้สื่อข่าวรายว่า คณะอนุกรรมาธิการด้านวิชาการและเสริมสรร้างการให้ความรู้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในกมธ. การพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา จัดสัมมนา เรื่อง ปักหมุดประชานิยมอย่างไร ให้การเมืองไทยพัฒนา โดยมีนักวิชาการที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม
โดยนายเจษฎ์ โทณะวณิก ประธานคณะนิติศาสตร์วิทยาลัยบัณฑิตเอเชีย กล่าวว่า ปัญหาของประชานิยมไม่ว่าทางเศรษฐกิจและการเมือง ทำให้เกิดปัญหาทั้งสิ้น โดยประชานิยมทางการเมืองตำราบางเล่มบอกว่าเป็นความเลวร้ายทั้งสิ้น เนื่องจากในหลักการของประชานิยมที่ยึดประชาชนนหมู่มากเป็นหลัก ซึ่งโครงการแจกเงินดิจิทัลตนมองว่าเป็นปัญหา อ้างเอาว่าเป็นเสียงข้างมาก หากนับ ฐานของพรรคเพื่อไทย มีเพียง 10 ล้านโดยประมาณไม่ใช่เสียงข้างมากของสภาฯ และไม่เป็นอันดับหนึ่งของพรรคการเมืองที่ชนะเลือกตั้ง ขณะเดียวกันในนโยบายประชานิยมเชิงสัญญา ที่ผ่านมาถือว่าเป็นปัญหากับการเมืองไทย นอกจากนั้นการกระทำอันเป็นประชานิยม ตนมองว่าคือการอัดฉีดเงิน ซึ่งอาจเจอปัญหาคือ ผิดกฎหมาย ผิดวินัยการเงินการคลัง หรือหากมีส่วนต่างอาจกลายเป็นการทุจริตประพฤติมิชอบ
“นโยบายประชานิยมมักมากับการหาเสียงและผลักดันช่วงเป็นรัฐบาล แต่การนำมาปฏิบัตินั้นต้องมีแผนดำเนินการอย่างมีหลักเกณฑ์ที่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร เช่น ใช้เงินจากไหน หากมีเงินจะใช้อย่างไร เหตุผลต้องใช้เงิน ความเสี่ยงคืออะไร หรือมีวิธีอื่นที่ดีกว่าหรือไม่ เมื่อมองแล้วจะพบว่าไม่ว่าเป็นนโยบายที่พรรคการเมืองหาเสียง หากเป็นประชานิยมเชิงเศรษฐกิจพอได้หากจำเป็น หรือหากเป็นประชานิยมทางการเมืองนั้น ท้ายสุดจะพาประเทศตกต่ำ หรือภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง ซึ่งจากสถิติประเทศในโลกที่ทำประชานิยมทางเศรษฐกิจหรือการเมืองมาใช้ มักเกิดความเสียหาย แต่หากจำเป็นต้องทำ ไม่ควรแจกอย่างไร้แผนหรือโครงการ” นายเจษฎ์ กล่าว
นายเจษฎ์ กล่าวด้วยว่าในกรณีที่พรรคเพื่อไทยเดินหน้าแจกเงินดิจิทัล หากอนาคตจะนำความเสียหายแก่บ้านเมืองจริง พรรคร่วมรัฐบาลต้องร่วมรับผิดชอบ ทั้ง พรรคพลังประชารัฐ พรรครวมไทยสร้างชาติ และ พรรคภูมิใจ หากพรรคก้าวไกลเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถอดนายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯและรมว.คลัง ออกจากตำแหน่ง และหากพรรคเพื่อไทยใจถึงส่งสัญญาณไปถึงชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจด้วย
นายเจษฎ์ กล่าวด้วยว่า สำหรับกติกาของการกำกับการหาเสียงของพรรคการเมืองตอนหาเสียงตามกฎหมายประกอบที่กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กำกับ ตนมองว่าขณะนี้อธิบายไม่ได้ แต่ทำไมตอนยื่นนโยบายต่อ กกต. ถึงไม่ตรวจสอบ ซึ่งหากเทียบกับฟุตบอล มีกฎฟีฟ่ากำกับว่าหากนักเตะถอดเสื้อเท่ากับได้ใบเหลือง แต่นักเตะคนดังกล่าวสัญญากับแฟนๆ ไว้ว่าจะถอดเสื้อ แต่เมื่อในสนามแข่งขันถือว่าผิดกฎ แต่เมื่อกรรมการให้ใบเหลือง แต่เถียงกรรมการ ทำให้กรรมการตัดสินให้ใบแดง ดังนั้นกติกาที่อดีตกรรมาการร่างรัฐธรรมนูญ ทำ คือให้กรรมการใช้การตัดสินใจทีเด็ดทีขาดได้ ซึ่งในรายละเอียดที่เขียนไว้ในนั้นเป็นสารตั้งต้นเท่านั้น แต่กกต.ต้องคิดต่อว่าจะมีประเด็นอื่นๆ เพิ่มเติมหรือไม่
ขณะที่นายปริญญา เทวานฤมิตรกุล นักวิชาการนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ตของพรรคเพื่อไทย เป้าหมายคือไม่ใช่แก้ปัญหาความยากจน แต่คือกระตุ้นเศรษฐกิจและมีเรื่องประชานิยมด้วย ทั้งเงิน 5.6แสนล้านบาทไม่เป็นเรื่องใหญ่หากงบประมาณรายจ่ายอยู่ที่ 3.3ล้านล้านบาท หากนำงบประมาณช่วยคนไทยหลุดพ้นความยากจนถือว่าคุ้ม แต่หากการแจกเงินอย่างเดียวเชื่อว่าไม่แก้ปัญหาความเลื่อมล้ำ ส่วนการแก้ปัญหาเศรษฐกิจยังมีปัญหา หากเลือกจะแจกเฉพาะคนมีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถือว่าไม่คลุมเรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้นตนมองว่ารัฐบาลควรเปลี่ยนและทำโครงการเพื่อแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำความยากจนแบบพุ่งเป้าจะเหมาะสมกว่า ซึ่งใช้หลักทำน้อยได้มากเหมือนอย่างประเทศจีน ที่ใช้งบ 5แสนล้านบาทต่อปีเพื่อแก้ปัญหาความยากจน ขณะที่ประชากรในประเทศมีกว่า 1,000 ล้านคน ทั้งนี้ผมไม่เห็นด้วยกับการใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาแบบไม่มีเป้าหมาย
นายปริญญา กล่าวด้วยว่าสำหรับการเพิ่มรายได้เป็นเรื่องดีแต่ต้องระมัดระวัง เพราะค่าครองชีพจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีเงินเพิ่มแต่ได้สินค้าเท่าเดิม ดังนั้นต้องเปลี่ยนแนวคิดด้วยว่าต้องส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชนโดยไม่ใช่คำนึงถึงเรื่องตัวเงินเท่านั้น โดยให้ประชาชนมีสิทธิทรัพยากรในปัจจัย4 เพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้เงิน 5.6แสนล้านบาทตนมองว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากนำมาแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าช่วงหนึ่งของการสัมมนา พิธีกรบนเวทีได้ตั้งคำถามว่าใครจะปฏิเสธรับเงินดิจิทัลของรัฐบาลบ้าง พบว่านายเจษฎ์และนายปริญญา ยกมือเพื่อแสดงเจตจำนงของตนเอง รวมถึงผู้ที่เข้าร่วมงานสัมมนาบางส่วนด้วย.