ลุ้น'บิ๊กดีล'อนุรักษ์รอบใหม่ ชี้ชะตา‘เศรษฐา-อุ๊งอิ๊ง’
เมื่อประเมินสถานการณ์ด้านบวก-ด้านลบ ที่จะเกิดขึ้นแล้ว “ตระกูลชินวัตร-เศรษฐา” ต้องโทษตัวเอง ในเมื่อรู้ว่าการตั้ง“พิชิต” สุ่มเสี่ยง แต่การตอบแทน “ม้าใช้” จนเข้าทาง “เครือข่ายอนุรักษนิยม”
ปฏิบัติการลับ ลวง พราง “Triple V” นายใหญ่-นายหญิงพลัดถิ่น-เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า แท็กทีมกดดันให้ “พิชิต ชื่นบาน” ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี สำเร็จ
“ทริปเปิลวี” มองว่าหากถอนสลักระเบิดออก “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะไม่รับคำร้องกลุ่ม 40 สว. ไว้วินิจฉัย
แน่นอนว่าคำร้องของ “พิชิต” อาจจะถูกตีตกไป เนื่องจากเจ้าตัวไม่อยู่ในตำแหน่ง แต่คำร้องของ “เศรษฐา ทวีสิน” นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ถูกร้องที่ 1 ยังมีผลอยู่ โอกาสที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” จะรับคำร้องไว้วินิจฉัย ย่อมมีความชอบธรรม
“กรุงเทพธุรกิจ” วิเคราะห์ทางเลือก-ทางรอดของ “รัฐบาลเศรษฐา” ในมือของ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ซึ่งจะวินิจฉัยคำร้องของกลุ่ม40 สว.ในวันนี้ เพื่อฉายภาพสถานการณ์ทางการเมืองในอนาคตอันใกล้ โดยเฉพาะโอกาสเปลี่ยนดีล เปลี่ยนตัวนายกฯของพรรคเพื่อไทย
ทางแรก ศาลรัฐธรรมนูญอาจเลื่อนการพิจารณารับวินิจฉัยคดีออกไปก่อน เนื่องจาก “พิชิต” ลาออกจากตำแหน่ง จึงต้องสืบเสาะข้อมูลเพิ่มเติม ซึ่งอาจจะทำให้ศาลรัฐธรรมนูญนัดวันเวลาในการพิจารณารับคำร้องใหม่
ส่งผลให้ “เศรษฐา-เพื่อไทย” ต้องทอดเวลารอลุ้นผลทางคดีออกไป โดยระหว่างนั้นอาจมีการเปิด“บิ๊กดีล”รอบใหม่ขึ้น เพื่อกำหนดแนวทางการแบ่งอำนาจให้ “ตระกูลชินวัตร” ยืมไปใช้ จะมีกรอบอย่างไรบ้าง ไม่ให้กระทบต่อ “เครือข่ายอนุรักษนิยม”
ทางสอง หากไม่รับคำร้องไว้วินิจฉัย จะทำให้ทุกองคาพยพของ “เพื่อไทย-ตระกูลชินวัตร” ได้ไปต่อ แต่ต้องเดินเกมอย่างระมัดระวังมากขึ้น เพราะหากเดินเกินดีล มีโอกาสโดนเช็คบิล
ต้องยอมรับว่าตั้งแต่ “ทักษิณ” ได้รับการพักโทษ ศูนย์รวมอำนาจทางการเมือง ถูกย้ายจาก “ตึกไทยคู่ฟ้า” ไปยัง “บ้านจันทร์ส่องหล้า” ทำให้ภาพลักษณ์ในการบริหารประเทศอยู่ในแดนลบ
ที่สำคัญมีหลายชอตที่ “ทักษิณ” เดินเกมแรง อาทิ การลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง การเจรจากลุ่มชาติพันธุ์เมียนมา การเจรจา “ผู้นำ-บิ๊กเนม” ประเทศเพื่อนบ้าน เป็นต้น แม้หลายอย่างจะดำเนินการทางลับ แต่ยากที่จะรอดพ้นการข่าวของ “เครือข่ายอนุรักษนิยม”
ทางสาม หากรับคำร้องไว้วินิจฉัย แต่ไม่สั่งให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ทำให้เจ้าตัวสามารถบริหารประเทศต่อไปได้ แต่คดียังอยู่ระหว่างการไต่สวนของศาล
ทางสี่ หากรับคำร้องไว้วินิจฉัย พร้อมสั่งให้เศรษฐาหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ ทำให้เจ้าตัวไร้อำนาจบริหารชั่วคราว จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัยออกมา โดยระหว่างนี้ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรี รมว.พาณิชย์ จะดำรงตำแหน่งรักษาการนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองนายกรัฐมนตรี ลำดับหนึ่ง
ส่วน “เศรษฐา” จะต้องหยุดพักชั่วคราว เนื่องจากไม่มีตำแหน่งรัฐมนตรีในกระทรวงอื่น แตกต่างจากกรณีของ "พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" ในช่วงที่ถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี แต่ยังมีตำแหน่ง “รมว.กลาโหม” จึงสามารถปฏิบัติหน้าที่ในกระทรวงกลาโหมได้
อย่างไรก็ตาม หากศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องไว้วินิจฉัย ไม่ว่าจะสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ “รัฐบาลเศรษฐา”จะอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงทันที แต่อาจจะอุ่นใจได้เปราะหนึ่ง เนื่องจาก “เครือข่ายอนุรักษนิยม” ยังต้องการเสียงจาก สส.เพื่อไทย เพื่อคงรัฐบาล “ขั้วเดิม” เอาไว้ แต่ต้องเปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี
เนื่องจากมีกระแสข่าวก่อนการจัดตั้ง “รัฐบาลเศรษฐา” ดีลแรก เครือข่ายอนุรักษนิยมต้องการให้ “อุ๊งอิ๊ง”แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯเพื่อไทย นั่งเก้าอี้คนแรก เพื่อเป็นตัวประกันการเมือง แต่เมื่อ“แพทองธาร”ปฏิเสธ “เศรษฐา”จึงส้มหล่น
หาก“เศรษฐา” ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยกรณี“พิชิต”ออกมาในทางลบ ย่อมเป็นหมากบังคับให้ เปลี่ยนตัว “แพทองธาร” เข้ามานั่งเก้าอี้นายกฯ คนใหม่ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ “ตระกูลชินวัตร” ไม่อาจต่อรองได้อีก
เมื่อดีลพลิกขั้วลงตัว ชอตต่อมาดีล “ทักษิณ”กลับบ้าน พร้อมคำมั่นสัญญาจาก “เครือข่ายอนุรักษนิยม” ไม่ต้องเข้า“คุก”เป็นไปตามข้อตกลง ตลอดเวลาที่ “ทักษิณ” ถูกจองจำได้ใช้ชีวิตอยู่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ จนถูกครหาว่าเป็น “นักโทษเทวดา”
กระทั่ง “ทักษิณ” ได้รับการพักโทษ ซึ่งมีออฟชั่นให้ขับเคลื่อนเกมการเมืองได้อิสระ เพราะต้องใช้ทุกสรรพกำลังขับเคี่ยวกับ “พลพรรคสีส้ม” ทว่า เจ้าตัวกลับเดินเกมการเมืองเกินดีล ใช้อำนาจแบบนายกฯซ้อนนายกฯ
ขณะเดียวกันต้องจับตาว่า หาก “รัฐบาลเศรษฐา” ยังได้ไปต่อ แผนการกลับบ้านของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี อาจ ต้อง“เปิดดีลใหม่”เช่นกัน จากเดิมที่มีกระแสข่าว “ยิ่งลักษณ์” จะเหยียบแผ่นดินไทยช่วงเดือน ต.ค.ปีนี้ อาจเลื่อนออกไปหรือไม่ ซึ่งต้องติดตามผลสรุปของดีลรอบใหม่
อีกด้านต้องระมัดระวัง “ตาอยู่” ที่มาในคราบ “ลุงบ้านป่า” ที่หวังนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมานาน อาจมีแรงบันดาลใจ พลิกเกมได้เช่นกัน เนื่องจากคดียุบ “พรรคก้าวไกล” อยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ หากพรรคสีส้มถูกยุบ ย่อมมีโอกาสที่ “สวนกล้วย” บ้านป่า จะเปิดอีกคำรบหนึ่ง
หากคดีของ “เศรษฐา” ถูกวินิจฉัยด้านลบ จนต้องหลุดจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี ประจวบเหมาะกับการชี้ขาดยุบ “พรรคก้าวไกล” อาจจะเปิดโอกาสให้ “ลุงบ้านป่า” มีความหวังอีกรอบ
เมื่อประเมินสถานการณ์ด้านบวก-ด้านลบ ที่จะเกิดขึ้นแล้ว “ตระกูลชินวัตร-เศรษฐา” ต้องโทษตัวเอง ในเมื่อรู้ว่าการตั้ง“พิชิต” สุ่มเสี่ยง แต่การตอบแทน “ม้าใช้” จนเข้าทาง “เครือข่ายอนุรักษนิยม”
ต้องลุ้นว่า จะเป็นแค่การเตือน หรือถึงขั้นเปลี่ยนตัว“ผู้นำ”ตามหมากตัวประกันที่วางไว้ตั้งแต่ดีลแรก คดีนี้อาจนำไปสู่จุดเปลี่ยนดีลใหม่ ที่มีผลต่อเส้นทางการเมืองของ"เศรษฐา-แพทองธาร"ครั้งสำคัญ